SEO

5 เคล็ด (ไม่) ลับในการออกแบบ Landing Page ให้มีประสิทธิภาพ

Fast To Read

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Landing Page มาบ้าง แล้วเคยสงสัยไหมว่าหน้าๆ นี้มันสำคัญขนาดไหน?

บอกเลยว่าสำคัญมาก! เพราะ Landing Page ไม่ใช่แค่หน้าเว็บไซต์หน้าหนึ่ง แต่เป็นด่านหน้าที่ต้อนรับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่คลิกมาจากโฆษณา, การค้นหา, หรือลิงก์ต่างๆ หน้าที่หลักของมันคือการเปลี่ยนผู้เข้าชม (Traffic) ให้กลายเป็นลูกค้า (Conversion) ไม่ว่าจะเป็นการสมัครรับข่าวสาร, การลงทะเบียน, หรือการซื้อสินค้า และเมื่อคุณออกแบบ Landing Page ให้มีความน่าสนใจ ตรงประเด็น และใช้งานง่าย มันจะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสร้าง Conversion ได้อย่างยอดเยี่ยม

วันนี้ Search Studio จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเจ้า Landing Page ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมเผย 5 เคล็ด (ไม่) ลับ ที่จะช่วยให้คุณดีไซน์หน้า Landing Page ออกมาได้อย่างน่าสนใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด! เลื่อนลงไปอ่านกันเลย!

Landing Page คืออะไร? 

เรามาเริ่มกันที่ Landing Page คืออะไร? ทำไมต้องให้ความสำคัญกับส่วนนี้เป็นพิเศษ

“Landing Page คือ หน้าเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ของการทำการตลาดออนไลน์” ไม่ใช่หน้าแรก (Homepage) ทั่วไป แต่เป็นปลายทางที่ผู้เข้าชมจะมาถึง (Land) หลังจากคลิกโฆษณา, แบนเนอร์, หรือลิงก์ที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญนั้นๆ โดยตรง

 

ความสำคัญของ Landing Page ในการตลาดออนไลน์

     

    • สร้าง Conversion: เป้าหมายหลักของมันคือการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า (Leads) โดยการกระตุ้นให้เกิดการกระทำบางอย่าง เช่น การลงทะเบียน, การกรอกฟอร์ม, การดาวน์โหลดอีบุ๊ก, หรือการซื้อสินค้า/บริการตามแคมเปญที่กำหนด
    • รองรับแคมเปญเฉพาะ: ใช้สำหรับรองรับกิจกรรมส่งเสริมการขาย, การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่, การแจ้งข่าวสาร หรือกิจกรรมพิเศษต่างๆ ของแบรนด์ เพื่อให้ข้อมูลมีความโฟกัสและตรงกับความสนใจของผู้ที่คลิกเข้ามา
    • ต่อยอดการโฆษณาออนไลน์: Landing Page เป็นส่วนสำคัญที่นำไปต่อยอดกับการโฆษณาออนไลน์ทุกรูปแบบ รวมถึงการทำ SEO กับ SEM เพื่อให้เกิด Conversion

    •  

    •  

    ดังนั้น การออกแบบหน้า Landing Page ให้มีคุณภาพจึงเป็นขั้นตอนที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างกำไรและความสำเร็จให้กับการทำโฆษณาบนโลกออนไลน์

    พร้อมแล้วหรือยัง? ต่อไปเราจะเข้าสู่ 5 เคล็ด (ไม่) ลับ ในการออกแบบและสร้าง Landing Page ที่จะทำให้ Conversion ของคุณพุ่งทะยาน!

    1. การออกแบบหน้าเว็บไซต์ต้องใช้ ‘พลังของสี’ ดึงดูดสายตา

    คุณรู้หรือไม่ว่าสีสันที่คุณเลือกใช้บน Landing Page นั้นมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้เข้าชมอย่างมาก งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันว่าสีมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการสูงถึง 80% เลยทีเดียว นี่คือเหตุผลที่เราต้องใส่ใจกับการเลือกสีเป็นพิเศษ สีที่โดดเด่นและสอดคล้องกับแบรนด์จะช่วยดึงดูดสายตาผู้ที่คลิกเข้ามายังหน้า Landing Page ได้ทันที ซึ่งเป็นการลดโอกาสที่พวกเขาจะกดออกจากหน้าเว็บ หรือที่เรียกว่า Bounce Rate นอกจากนี้ สีแต่ละสียังมีความหมายทางจิตวิทยาที่แตกต่างกัน

    ดังนั้น ในขั้นตอนการออกแบบ Landing Page เราจึงไม่ควรมองข้ามเรื่องสี จงเลือกชุดสี (Color Palette) ที่ไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังสอดคล้องกับแบรนด์และส่งเสริมให้เกิดการตัดสินใจตามวัตถุประสงค์ของคุณ

     

    เลือกใช้สีโทนร้อน (Warm Tone)

    สีโทนร้อนอย่าง สีแดง สีเหลือง สีชมพู หรือสีส้ม เป็นสีที่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉง ร้อนแรง และดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงเป็นสีที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีอีกด้วย สีเหล่านี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำ Digital Marketing ที่ต้องการสร้าง Conversion หรือเร่งการตัดสินใจซื้อ อย่างไรก็ตาม การใช้สีโทนร้อนในการออกแบบหน้าเว็บไซต์มักจะต้องนำมาใช้คู่กับสีโทนเย็นและโทนเบจ เพื่อช่วยลดความร้อนแรงของสีลง ทำให้มองสบายตาและดูไม่รบกวนสายตาจนเกินไป

    สีโทนร้อนเหมาะกับธุรกิจ: อาหาร คลินิกความงาม เทคโนโลยี ฯลฯ

     

    เลือกใช้สีโทนเย็น (Cool Tone)

    สำหรับสีโทนเย็น เช่น สีฟ้า สีเขียว สีน้ำเงิน หรือสีม่วง จะเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ทำให้ผู้เข้าชมเว็บเพจรู้สึกสบายตาเมื่อเข้ามาดู แต่ก็ต้องระวังในเรื่องของการดึงดูดสายตา เพราะสีเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะกับการทำโปรโมชันหรือ Sale ที่ต้องการความตื่นเต้นมากนัก สีโทนเย็นจะเน้นไปที่ความสบายตาและความน่าเชื่อถือมากกว่า จึงเหมาะกับวัตถุประสงค์ของการทำการตลาดออนไลน์ที่เน้นการสร้างการรับรู้ (Awareness) หรือแคมเปญที่ต้องการสร้างความมั่นคงและน่าเชื่อถือ

    สีโทนเย็นเหมาะกับธุรกิจ: ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ ธุรกิจสปา ธุรกิจด้านการเงิน ธนาคาร การเกษตรฯลฯ

     

    เลือกใช้สีโทนเบจหรือแนวเอิร์ธโทน

    สีโทนเบจหรือโทนกลาง ๆ อย่าง สีขาว สีดำ สีเทา และสีน้ำตาล เป็นสีที่สามารถนำไปจับคู่กับสีโทนร้อนและโทนเย็นได้อย่างกลมกลืนและเป็นธรรมชาติ สีเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวเกลี่ยและปรับความสมูทให้กับสีต่าง ๆ ที่อยู่ในหน้าเว็บเพจ ช่วยให้การออกแบบหน้าเว็บไซต์มีชีวิตชีวาขึ้นโดยไม่ดูฉูดฉาดจนเกินไป เป็นพื้นฐานที่ดีในการสร้างความสมดุลของสีทั้งหมด

     

    เลือกใช้สีตาม CI ของแคมเปญนั้น ๆ 

    เคล็ดลับสุดท้ายคือการสร้างความต่อเนื่อง คือการเลือกใช้สีใน Landing Page ไปในทิศทางเดียวกับสี CI (Corporate Identity) หรือธีมของแคมเปญนั้นๆ เพื่อเป็นการสร้างภาพจำให้กับผู้เข้าชม เมื่อผู้เข้าชมคลิกจากแพลตฟอร์มโฆษณา เช่น Facebook ที่มีโทนสีหนึ่ง แล้ว Landing Page บนเว็บไซต์ก็มีโทนสีแบบที่เพิ่งได้เห็นมา ก็จะช่วยสร้างความต่อเนื่อง (Consistency) ความน่าเชื่อถือ และกระตุ้นความสนใจให้ผู้เข้าชมไม่กดออกจากเว็บไซต์ไปเสียก่อน

     

    สัดส่วนสีของหน้า Landing Page ที่ควรรู้

    การรู้จักประเภทของสีอย่างเดียวอาจยังไม่พอ การสร้าง Landing Page ที่มีประสิทธิภาพและดึงดูดสายตาจำเป็นต้องมีหลักการใช้สีในเบื้องต้น เพื่อให้รู้สัดส่วนที่เหมาะสมในการออกแบบหน้าเว็บไซต์ Search Studio ขอแนะนำหลักการ 60-30-10 ที่เป็นสัดส่วนทองคำในการออกแบบ

       

      • 60% คือสีหลัก (Dominant Color): สีนี้เป็นสีที่ใช้คลุมภาพรวมและเป็นพื้นหลังส่วนใหญ่ของหน้าเว็บเพจ มีหน้าที่สร้างบรรยากาศและกำหนดโทนโดยรวมของแบรนด์ เป็นสีที่ต้องมีความสบายตา ไม่รบกวนการอ่าน และสอดคล้องกับภาพลักษณ์หลักของแคมเปญ

         

        • 30% คือสีรอง (Secondary Color): สีนี้เป็นสีที่ใช้เพื่อเพิ่มมิติและความน่าสนใจให้กับหน้าเว็บเพจ ใช้สำหรับส่วนประกอบรอง เช่น ส่วนหัวของบทความ (Headings), พื้นหลังของกล่องข้อความ, หรือองค์ประกอบกราฟิกอื่นๆ ที่ต้องการเน้นให้เด่นขึ้นมาจากสีหลักเล็กน้อย

           

          • 10% คือสีเน้น (Accent Color): นี่คือสีที่สำคัญที่สุด! เป็นสีที่ใช้สำหรับเน้นข้อความ หรือส่วนของปุ่ม Call-to-action (CTA) โดยเฉพาะ สี 10% นี้ควรเป็นสีที่ตัดกับสีหลักและสีรองอย่างชัดเจน มีหน้าที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมให้หยุดอ่าน หรือกระตุ้นให้เกิดการคลิกเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของเรา เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียน หรือการดาวน์โหลด การใช้สีที่ถูกต้องตามหลัก 10% นี้คือหัวใจสำคัญในการสร้าง Conversion

          การใช้สัดส่วน 60-30-10 จะช่วยให้การออกแบบ Landing Page ดูมีความเป็นมืออาชีพ มีความสมดุล และช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถโฟกัสไปที่จุดที่เราต้องการให้ความสำคัญได้อย่างง่ายดาย

          2. ใช้คำพูดที่ดูกระชับไม่ยาวจนเกินไป เน้น ‘Super Text’ มัดใจทันที

          เมื่อผู้เข้าชมมาถึง Landing Page แล้ว สิ่งถัดไปที่ต้องหยุดพวกเขาไว้ให้อยู่หมัดคือข้อความ (Copywriting)

          การออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่ดีต้องมีข้อความที่ดึงดูดและเข้าใจได้ในทันที เพราะเวลาของผู้เข้าชมมีจำกัด และพวกเขาจะไม่อดทนอ่านประโยคยาวๆ ที่เรียงติดกันเป็นพืด ลองนึกภาพดูสิว่า หากคุณคลิกเข้ามาแล้วเจอแต่ข้อความที่ยาวเหยียด คุณคงเลือกที่จะปิดหน้าเว็บเพจนั้นลงอย่างรวดเร็วแน่นอน

          ดังนั้น ข้อความที่เลือกใช้บน Landing Page จึงต้องเป็น Super Text คือถ้อยคำที่สั้น คมคาย และมีพลังดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมได้อย่างรวดเร็ว

           

          หัวใจสำคัญของการเขียนบน Landing Page คือ

             

            1. กระชับที่สุด: ข้อความที่ใช้ควรสั้น ไม่เยิ่นเย้อ เน้นสื่อสารให้ผู้เข้าชมเกิดความเข้าใจในวัตถุประสงค์และประโยชน์ของแคมเปญได้ในทันที

            2. โฟกัสประโยชน์: โดยเฉพาะหน้า Landing Page ที่เป็นโปรโมชัน ข้อความจะต้องเน้นย้ำถึงสิ่งที่ผู้เข้าชมจะได้รับอย่างชัดเจน

            3. หลีกเลี่ยงย่อหน้ายาว: แบ่งข้อความเป็นส่วนย่อยๆ หรือใช้ช่องว่าง (Whitespace) ให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้สายตาผู้เข้าชมสามารถกวาดอ่านและทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย

            1.  

            1.  

            จำไว้ว่าข้อความที่ดีบน Landing Page คือข้อความที่ช่วยส่งเสริมการตลาดออนไลน์ และพาผู้เข้าชมไปสู่การตัดสินใจคลิก CTA ได้อย่างรวดเร็วที่สุดนั่นเอง!

            3. ใช้รูปภาพบนหน้าเว็บเพจให้มาก

            นอกจากสีของเว็บเพจจะช่วยดึงดูดในการออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้น่าสนใจแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการใช้รูปภาพ ที่จะช่วยให้เว็บเพจของคุณน่าสนใจมากกว่าเดิม เพราะถ้าหากคุณสร้าง Landing Page ให้มีแต่ข้อความอย่างเดียว ก็จะทำให้หน้า Landing Page ของคุณไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะการทำการตลาดออนไลน์ (Digital Marketing) บนหน้าเว็บไซต์ หากหน้าเว็บไซต์ไม่มีภาพสินค้าหรือบริการอาจลดทอนความน่าเชื่อถือของ Landing Page นั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำเสนอโปรโมชั่นหรือแคมเปญต่าง ๆ จะต้องมีภาพของสิ่งที่เราต้องการขาย ก็จะช่วยให้เกิด Conversion ได้

            4. ออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้เป็นแบบ Responsive Design

            ในยุคนี้ที่คนสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตได้ในอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์ ฯลฯ การออกแบบหน้าเว็บไซต์ โดยเฉพาะการสร้าง Landing Page จะต้องคำนึงถึงสัดส่วนของภาพที่แสดงในแต่ละอุปกรณ์ ที่มีสัดส่วนของการแสดงภาพที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการสร้าง Landing Page ควรทำให้เป็นแบบ Responsive Design ที่เข้ากับขนาดของหน้าจอบนอุปกรณ์ทั้งหลาย ต่อให้เข้าหน้าเว็บเพจจากในอุปกรณ์ไหนก็ตามภาพที่แสดงในอุปกรณ์นั้น ๆ ก็ยังคงความสวยงาม ป้องกันไม่ให้หน้าเว็บเพจเบี้ยวได้ ซึ่ง Responsive Design คือการเขียนเว็บไซต์โดยกำหนด HTML และใช้ CCSS ในการปรับเปลี่ยนการแสดงผลให้เหมาะกับหน้าจอของอุปกรณ์ต่าง ๆ

            5. CTA (Call-to-Action) ที่ขาดไม่ได้

            สิ่งสุดท้ายที่เหมือนจะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ แต่เป็นจุดที่สร้าง Conversion ได้ดีทีเดียว นั้นก็คือ ปุ่ม CTA (Call-to-Action) ที่เป็นหัวใจสำคัญของ การทำ Digital Marketing โดยส่วนประกอบของปุ่ม CTA จะต้องมีคำที่ดึงดูดชวนให้อยากคลิก โดยจะต้องเป็นคำสั้น ๆ แต่สื่อความหมายตรงไปยังผู้เข้าชมเว็บเพจ ส่วนสีที่ใช้ในการออกแบบในส่วนของ CTA จะต้องเลือกใช้สีที่เข้มและโดดเด่นกว่าส่วนอื่น ๆ ในหน้าเว็บเพจ โดยส่วนมากนิยมเลือกใช้สีแดงเพราะเป็นสีที่ดึงดูดสายตาได้ดีที่สุด และยังเป็นสีที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ที่เข้ามาชมเว็บเกิดการตื่นตัว การออกแบบหน้าเว็บไซต์ในส่วนของ CTA จะต้องเน้นความสะดุดตาจึงจะสร้าง Conversion ให้เกิดขึ้นได้

            บทสรุป

            การออกแบบหน้าเว็บไซต์อย่างหน้า Landing Page จะต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ อย่างที่ได้แนะนำไปในตัวอย่าง landing page ที่ดีในข้างต้นต้องมีอะไรบ้าง เพราะเว็บเพจอย่าง Landing Page เป็นเครื่องมือในการทำการตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketing ได้เป็นอย่างดี หากคุณออกแบบ Landing Page ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Conversion ก็จะสูงตาม ลองนำเคล็ด(ไม่)ลับที่เราได้แนะนำไปทั้ง 5 ข้อไปปรับใช้กับการสร้าง Landing Page ของคุณ ซึ่งสำหรับใครที่อยากเว็บไซต์ที่มีหน้า Landing Page เป็นของตัวเอง แต่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการสร้างด้วยตัวเอง สามารถใช้บริการรับทำ Landing Page ได้เลย แต่ถ้าคุณได้อ่านบทความนี้จนจบ รับรองว่าคุยกับผู้ออกแบบเว็บเพจรู้เรื่องในระดับหนึ่ง ไม่งงแน่นอน

            FAQ

            Landing Page แตกต่างจาก Homepage อย่างไรในมุมมองของ SEO?

            Landing Page และ Homepage มีวัตถุประสงค์ต่างกันอย่างชัดเจนค่ะ Landing Page ถูกออกแบบมาเพื่อ Conversion โดยเฉพาะ มีข้อความที่โฟกัสเพียงเป้าหมายเดียวเพื่อให้ผู้ใช้ทำสิ่งที่เราต้องการ ส่วน Homepage มีไว้เพื่อนำเสนอภาพรวมของเว็บไซต์และแบรนด์ทั้งหมด ในมุมมองของ SEO นั้น Landing Page มักจะถูกปรับให้มี Keyword หรือคำสำคัญเฉพาะเจาะจง (Long-tail Keywords) เพื่อดึงดูด Traffic ที่มีคุณภาพและพร้อมซื้อมากกว่า

            การใช้รูปภาพและวิดีโอมีผลต่อประสิทธิภาพของ Landing Page ในการจัดอันดับ SEO หรือไม่?

            มีผลอย่างมากค่ะ แม้ว่า SEO จะเน้นที่เนื้อหาหรือการทำ on-page เป็นหลัก แต่รูปภาพและวิดีโอมีผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience – UX) โดยตรง หากผู้ใช้ประทับใจและใช้เวลาอยู่บนหน้าเว็บนานก็จะส่งสัญญาณที่ดีไปยัง Google ที่สำคัญคืออย่าลืมย่อขนาดไฟล์ (Image Optimization) และใส่ Alt Text ที่มี Keyword เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของรูปภาพนั้นๆ ด้วยนะคะ

            ควรทำอย่างไรกับ Landing Page ที่หมดอายุแคมเปญแล้วเพื่อไม่ให้เสียโอกาสทาง SEO?

            เมื่อแคมเปญสิ้นสุดลง ไม่ควรปล่อยหน้า Landing Page ให้เป็นหน้าว่าง (404 Error) เพราะจะเสียแรงทำ SEO ที่สะสมมา เราควรใช้การ 301 Redirect หน้า Landing Page ที่หมดอายุนั้นไปยังหน้าอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น หน้าสินค้าที่คล้ายกัน หน้าหลัก หรือหน้าบทความที่มีประโยชน์แทน เพื่อรักษา Authority และป้องกันไม่ให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ดีกับผู้เข้าชมค่ะ

            ความเร็วในการโหลดหน้า (Page Speed) มีความสำคัญต่อ Landing Page แค่ไหน?

            สำคัญที่สุดเลยค่ะ ความเร็วในการโหลดหน้าเป็นปัจจัยหลักในการจัดอันดับของ Google (Core Web Vitals) และยังส่งผลโดยตรงต่อ Conversion อีกด้วย หาก Landing Page โหลดช้าเพียง 1-2 วินาที อาจทำให้ผู้เยี่ยมชมกว่าครึ่งตัดสินใจกดออกไปทันที ดังนั้น การปรับปรุงความเร็วในการโหลดจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มทั้งอันดับ SEO และยอด Conversion ให้กับแคมเปญค่ะ

            การใช้ Testimonials หรือ Social Proof บน Landing Page ช่วยเรื่อง SEO ได้จริงไหม?

            แน่นอนค่ะ แม้ว่า Testimonials และ Social Proof ไม่ได้ส่งผลต่อการจัดอันดับโดยตรง แต่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัย E-E-A-T ของ Google เมื่อผู้ใช้เชื่อมั่น พวกเขาจะใช้เวลาบนหน้าเว็บนานขึ้น และมีโอกาส Conversion สูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบวกทางอ้อมต่อ SEO ค่ะ

            Written By

            เมย์เริ่มงานสาย Online Marketing มาได้มาได้มากกว่า 3 ปีแล้ว และยังคงศึกษางาน SEO และ Online Marketing ต่อไป ด้วยเป็นเด็กสายวิทย์ที่ชอบการอ่านมากกว่าฟัง ชอบวิเคราะห์ มีความขี้สงสัยและต้องค้นหาเหตุผลให้เจอ ยังคงหลงใหลในศิลปะการทำอาหาร สุดท้ายแล้วขอให้แมวจรทุกตัวมีบ้านค่ะ
            Views
            Related Article

            รับคำปรึกษา
            SEO ฟรี!

            ตรวจสถานะ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ ฟรี พร้อมคำแนะนำจาก SEO Specialist ของเรา มูลค่า 35,000 บาท

            มีจำนวนจำกัด เท่านั้น ติดต่อเราเลย

            Let’s talk

            Got an idea in your mind? Pop your info into our form
            and we will get back to you shortly.