eCommerce

Shopify คืออะไร? สอนวิธีสมัครใช้งานเบื้องต้นสำหรับนักขายมือใหม่

Fast To Read

ในยุคสมัยของการขายของออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน หรือที่เรียกกันว่า “ยุคอีคอมเมิร์ซ” (E-Commerce) ส่งผลให้มีแพลตฟอร์มขายของออนไลน์เกิดขึ้นกันอย่างมากมาย หนึ่งในแพลตฟอร์มขายของออนไลน์อย่าง Shopify ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ สำหรับใครที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มเพื่อเริ่มต้นขายสินค้าออนไลน์ บทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ Shopify คืออะไร? ขายของใน Shopify ดีไหม? รวมถึงข้อควรรู้ก่อนขายของใน Shopify ถ้าพร้อมแล้ว ไปติดตามพร้อมๆ กันเลย

Shopify คืออะไร?

Shopify คือแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์แบบสำเร็จรูป โดยภายในจะมี Template ให้เลือกมากมาย สามารถปรับแต่งร้านค้าให้เข้ากับสไตล์ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผู้ใช้งานมือใหม่ก็สามารถปรับการตั้งค่าได้เอง โดยไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย อีกทั้งภายในยังมีระบบหลังบ้านขายของออนไลน์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น ระบบชำระเงิน การจัดส่ง และฟังก์ชันอื่นๆ ที่ครอบคลุมกับความต้องการของผู้ขายได้ทั้งหมด

ถ้าถามว่า Shopify ดีไหม? ต้องบอกก่อนว่าในปัจจุบันผู้ที่ค้าขายออนไลน์ มักจะขายของอยู่ในแพลตฟอร์ม E-Commerce ชื่อดังอย่าง Shopee และ Lazada หรือ Social Media ต่างๆ เช่น TikTok, Facebook, Instagram เป็นต้น แต่กลับไม่มีชื่อเว็บไซต์เป็นของตัวเอง จึงทำให้ Shopify เป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่น่าสนใจ เพราะสามารถสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้โดยตรง และยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าตัวเองอีกด้วย

วิธีสมัครใช้งาน Shopify เบื้องต้น

ก่อนที่จะเริ่มต้นขายของใน Shopify เรามาดูวิธีสมัครใช้งาน Shopify เบื้องต้นกันก่อนดีกว่า สามารถทำตามวิธีด้านล่างนี้ได้เลย

ขั้นตอนนี้ Shopify จะสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เช่น ขายสินค้าหรือบริการอะไร เปิดร้านค้าออนไลน์อยู่แล้วหรือไม่ วางแผนจะขายสินค้าผ่านช่องทางใด โดยคำตอบเหล่านี้จะช่วยให้ Shopify ปรับแต่งการตั้งค่าร้านค้าของเราได้อย่างเหมาะสม

จากนั้น เราจะเข้าสู่หน้า Dashboard ของ Shopify ซึ่งขั้นตอนนี้เราสามารถจัดการร้านค้า เช่น การเพิ่มสินค้า ปรับแต่งธีม ตั้งค่าการชำระเงิน และอื่นๆ ได้

เราสามารถใช้ช่วงทดลองใช้งานฟรี ปรับแต่งร้านค้าดูก่อนได้ หากสนใจอัปเกรดเป็นแพ็กเกจอื่น ทาง Shopify ก็มีให้เลือกตามความต้องการ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจของ Shopify จะมีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแพ็กเก็จที่มีราคาสูง ก็จะมีฟีเจอร์หลากหลายที่สามารถรองรับกับขนาดธุรกิจของเราได้นั่นเอง

ง่ายใช่มั้ยล่ะ เพียงทำตามขั้นตอนเหล่านี้ก็สามารถเริ่มต้นขายสินค้าผ่าน Shopify ได้แบบง่ายๆ แล้ว 🙂

ข้อดี-ข้อเสียของ Shopify

Shopify เป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่สามารถสร้างและจัดการร้านค้าออนไลน์ได้ค่อนข้างสะดวกเลยทีเดียว ในส่วนนี้ เรามาดูข้อดีและข้อเสียของ Shopify กันดีกว่า เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจและนักขายมือใหม่ที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มขายของออนไลน์

ข้อดี

  • ใช้งานง่าย: ระบบของ Shopify ออกแบบด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ค่อนข้างเหมาะสำหรับมือใหม่หรือผู้เริ่มต้น ใครที่ไม่มีประสบการณ์ขายของออนไลน์มาก่อน ไม่ต้องกังวลเลย
  • ปรับแต่งได้หลากหลาย: Shopify มี Theme และ Template ให้เลือกหลากหลาย สามารถเลือกใช้และปรับแต่งให้เหมาะสมกับร้านค้าของคุณได้ง่ายๆ
  • รองรับการชำระเงินหลายรูปแบบ: Shopify รองรับหลายช่องทางการชำระเงินทั้งธนาคารในประเทศ และผู้ให้บริการภายนอก เช่น Apple Pay Google Pay เป็นต้น
  • แสดง Report ได้ชัดเจน: Shopify จะแสดงสถิติยอดขายและการวิเคราะห์เกี่ยวกับการขาย ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจลูกค้าและตลาดได้ดียิ่งขึ้น
  • รองรับการทำ SEO: Shopify มีฟีเจอร์ช่วยทำ SEO ช่วยให้เนื้อหาหรือเว็บไซต์ของคุณให้ปรากฎบนหน้าค้นหา
  • มีระบบจัดการออเดอร์: ตั้งแต่การรับออเดอร์สินค้าไปจนถึงการติดตามการจัดส่ง
  • รองรับหลายภาษาและหลายสกุลเงิน: เราสามารถขายสินค้าไปได้ทั่วโลก เพราะ Shopify รองรับหลายภาษาและหลายสกุลเงิน เจ๋งไปเลย!

ข้อเสีย

ถึงแม้ว่า Shopify จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีข้อเสียบางส่วนดังนี้

  • ค่าบริการค่อนข้างสูง: แม้ว่า Shopify จะมีบริการทดลองใช้งานฟรี แต่หลังจากนั้นจะต้องจ่ายค่าบริการรายเดือน หากต้องการใช้ฟีเจอร์เสริมอื่นๆ อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • ความยุ่งยากในการย้ายแพลตฟอร์ม: เมื่อต้องการย้ายเว็บไซต์ไปแพลตฟอร์มอื่น ๆ อาจโยกย้ายข้อมูลได้ยุ่งยากและมีความซับซ้อน
  • เหมาะกับร้านค้าขนาดเล็กถึงกลางมากกว่า: หากธุรกิจของเรามีขนาดใหญ่มาก Shopify อาจไม่สามารถรองรับการปรับแต่งขั้นสูงได้ทั้งหมด
  • มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม: หากไม่ได้ใช้ Shopify Payments จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการทำธุรกรรมผ่านเกตเวย์หรือช่องทางการการชำระเงินอื่นๆ

แล้ว Shopify เหมาะกับธุรกิจแบบไหนบ้าง?

ก่อนหน้านี้เราได้ทราบถึงข้อดี-ข้อเสียของ Shopify กันไปบ้างแล้ว เรามาดูกันบ้างดีกว่าว่าธุรกิจแบบไหนที่เหมาะกับการใช้ Shopify ขายของออนไลน์บ้าง

  • ธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง (SMEs): เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นขายสินค้าออนไลน์ มีต้นทุนไม่สูงมาก เช่น ขายเสื้อผ้า เคสโทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน และอื่นๆ
  • ธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลาย (Multi-Product Stores): สำหรับร้านค้าที่มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย Shopify ช่วยจัดการคลังสินค้า หมวดหมู่สินค้าได้
  • ธุรกิจที่ขายสินค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Market): เช่น สินค้าออร์แกนิก อุปกรณ์กีฬาเฉพาะทาง เป็นต้น
  • ธุรกิจแบบ DTC (Direct-to-Consumer): เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการขายไปยังลูกค้าโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง เช่น แบรนด์เครื่องสำอางหรือสินค้าแฟชั่น
  • ธุรกิจที่ต้องการขยายช่องทางการขาย: เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ขายสินค้าผ่านช่องทางอื่น เช่น ร้านค้าออฟไลน์ หรือ Marketplace และต้องการเพิ่มยอดขายด้วยการขายผ่านเว็บไซต์ตัวเอง
  • ธุรกิจที่เน้นการขายระหว่างประเทศ (Cross-Border E-Commerce): Shopify รองรับหลายภาษา หลายสกุลเงิน และการจัดส่งระหว่างประเทศ ทำให้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการขายสินค้าไปทั่วโลก

สรุปคือ Shopify เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท เพียงแต่ห้ามนำไปใช้กับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทุกรูปแบบ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับพนันออนไลน์ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้คุณถูกห้ามใช้ Shopify ไปตลอดนั่นเอง

บทส่งท้าย

จบไปแล้วสำหรับบทความนี้ Search Studio หวังว่าใครหลายๆ คนจะรู้จักกับ Shopify กันมากขึ้น สำหรับใครที่สนใจเริ่มต้นขายของออนไลน์อาจจะพิจารณาลองใช้ Shopify ก็ไม่เสียหาย เพราะถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่น่าสนใจไม่แพ้แพลตฟอร์มเจ้าดังๆ เลยทีเดียว ใครที่อยากลองใช้งาน อาจจะสมัครทดลองใช้ฟรีดูก่อน เพื่อดูว่าตอบโจทย์กับธุรกิจเราหรือไม่

และสำหรับใครที่กำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าค้นหา หรือบริการอื่นๆ ทางด้าน SEO สามารถติดต่อทีมงาน Search Studio ของเรา ได้ที่ admin@searchstudio.digital เพื่อขอรับคำปรึกษาฟรีได้เลย

Written By

แทมเริ่มเข้าสู่สายงาน SEO ได้ไม่นานนัก มีความเชื่อที่ว่าทุกอย่างสามารถเรียนรู้ได้ SEO ก็เช่นกัน :) ชอบฟังเพลงนอกกระแส รักการขีดๆ เขียนๆ มีงานอดิเรกคือเขียนไดอารี่ จัดเพลย์ลิสต์เพลง อ่านนิยายรอมคอม และเสพติดการกินชาเขียวเป็นชีวิตจิตใจ
Views
Related Article

รับคำปรึกษา
SEO ฟรี!

ตรวจสถานะ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ ฟรี พร้อมคำแนะนำจาก SEO Specialist ของเรา มูลค่า 35,000 บาท

มีจำนวนจำกัด เท่านั้น ติดต่อเราเลย

Let’s talk

Got an idea in your mind? Pop your info into our form
and we will get back to you shortly.