ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนหน้าร้านค้าหรือสำนักงานของเราอย่างแท้จริง ดังนั้น ถ้าเว็บไซต์ไม่มีคนเห็น ธุรกิจก็จะเหมือนซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดไปเลยใช่ไหมล่ะคะ? นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม SEO (Search Engine Optimization) จึงสำคัญมาก เพราะมันคือกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ ขึ้นไปติดอยู่บนหน้าแรกของ Google ให้ผู้คนเห็นและเข้าถึงได้ง่ายที่สุดนั่นเองค่ะ
แต่การจะดันให้เว็บไซต์ธุรกิจติดหน้าแรก Google นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความซับซ้อนนี้เองที่ทำให้ “SEO Specialist” เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์และดำเนินการ SEO อย่างมืออาชีพ และในวันนี้ เราจะมาเจาะลึกบทบาทสำคัญของ SEO Specialist อาชีพสายดิจิทัลที่มาแรงสุด ๆ ในขณะนี้ ไปติดตามพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
SEO Specialist คืออะไร? ไขคำตอบให้หายสงสัย!

สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า SEO Specialist คืออะไร? จริง ๆ แล้ว SEO Specialist (Search Engine Optimization Specialist) หรือ SEO Expert คือ ผู้เชี่ยวชาญที่มีหน้าที่ในการใช้ความรู้และเทคนิคต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เว็บไซต์ของธุรกิจคุณปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ บนผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาอย่างเช่น Google เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือ SEO Specialist จะเน้นไปที่การสร้าง “Organic Search Results” หรือการติดอันดับแบบไม่เสียค่าโฆษณาค่ะ พวกเขาจะใช้หลักการ Keyword Research ในการวิเคราะห์ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณค้นหาด้วยคำว่าอะไร แล้วปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์คำค้นหานั้น ๆ เพื่อให้เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์คำที่เกี่ยวข้องปุ๊บ… ก็จะเจอเว็บไซต์ของคุณเป็นอันดับแรก ๆ ปั๊บ ถือได้ว่าเป็นการดึงดูดลูกค้ารูปแบบหนึ่ง
SEO Specialist ทำหน้าที่อะไรบ้าง
อย่างที่กล่าวไปว่า SEO Specialist หรือ ผู้เชี่ยวชาญในการทำ SEO นั้น คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เว็บของคุณอยู่บน Google และทะยานขึ้นไปติดอันดับต้น ๆ ได้สำเร็จ ซึ่งในทางปฏิบัติ SEO Specialist หน้าที่จะค่อนข้างหลากหลายและต้องใช้ทักษะแบบรอบด้านเลยทีเดียวค่ะ แต่โดยทั่วไปแล้วมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
การทำ Keyword Research
Keyword Research คือ การเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหาเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง SEO Specialist จะนำมาต่อยอดวิเคราะห์ว่าเว็บไซต์ควรใช้กลยุทธ์ SEO อะไร โดยดูจาก Search Intent และคู่แข่งว่ามีมากน้อยเพียงใด แล้วเลือกคำค้นหา (Keyword) ที่เหมาะสม เพื่อนำ Keyword ไปสร้าง Traffic หรือช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์ให้ง่ายยิ่งขึ้น ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดค่ะ
การปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ (On-page SEO)
On-page SEO คือ การที่ SEO Specialist เข้าไปดูแลและปรับปรุงทุกองค์ประกอบที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเพจนั้น ๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาบนหน้าต่าง ๆ (ต้องมีคุณภาพและมีประโยชน์), รูปภาพ, Title Tag, Meta Description, ไปจนถึงลิงก์ URL ซึ่ง SEO Specialist จะปรับปรุงทุกส่วนให้เป็นไปตามหลักการ SEO ที่ถูกต้อง เพื่อให้เว็บไซต์มีคุณภาพสูงสุด เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริง ๆ และถูกใจ Google
การปรับแต่งเนื้อหาภายนอกเว็บไซต์ (Off-page SEO)
Off-page SEO คือ การสร้าง Link จากภายนอก (Link-Building) บนเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีคุณภาพลิงก์กลับเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ หรือที่เรียกกันว่า “Backlinks” ค่ะ พูดง่าย ๆ คือเหมือนกับได้รับการรับรองหรือการอ้างอิงนั่นเอง ยิ่งเว็บไซต์ของคุณได้รับ Backlinks ที่มีคุณภาพมากเท่าไหร่ Google ก็จะมองเห็นถึงความน่าเชื่อถือและความสำคัญ และช่วยจัดอันดับให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
การปรับแต่งโครงสร้างทางเทคนิค (Technical SEO)
นี่คือมิติทางเทคนิคที่มองไม่เห็นด้วยตาแต่สำคัญมากค่ะ เพราะ Technical SEO คือการปรับปรุงโครงสร้างและเบื้องหลังของเว็บไซต์ให้ Search Engine เข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) และจัดอันดับ (Index) ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งรวมถึงการดูแลเรื่องความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Site Speed), การทำให้เว็บไซต์รองรับมือถือ (Mobile-Friendliness), การจัดการ Sitemap และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อให้มั่นใจว่าเว็บไซต์ของเรามีโครงสร้างที่ดีมากพอและพร้อมทะยานขึ้นสู่หน้าแรกค่ะ
วิเคราะห์ผลลัพธ์และการรายงาน (SEO Report)
แน่นอนว่าการทำ SEO จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์และจัดทำรายงานสรุปผล เพื่อดูว่าในการทำ SEO แต่ละครั้ง มีผลลัพธ์ตามที่ได้วางแผนไว้หรือไม่ โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์อย่าง Ahrefs, Google Analytics และ Search Console เพื่อดูว่ากลยุทธ์ที่วางไว้ให้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายหรือไม่ พร้อมทั้งนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้ไปจัดทำรายงานเพื่อสรุปผลการทำงาน และวางแผนการปรับปรุงแก้ไขในอนาคตได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพค่ะ
เครื่องมืออะไรบ้างที่ SEO Specialist จำเป็นต้องใช้

SEO Specialist มักจะใช้เครื่องมือทางออนไลน์ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งนี้เองก็เป็นเครื่องมือ SEO ที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญมักจะใช้กัน ดังต่อไปนี้
YoastSEO
YoastSEO คือ ปลั๊กอินเสริมสำหรับติดตั้งเป็นเครื่องมือ SEO ใน WordPress ใช้สำหรับปรับปรุงเนื้อหาของ Blog, Post และ Page ให้ถูกต้องตามหลัก SEO นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ได้ว่า การใส่ Title Tag หรือ Meta Description ของเว็บเพจ มีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญปรับปรุงเว็บไซต์ได้ทันท่วงที
SEMrush และ Ahrefs
SEMrush หรือ Ahrefs ทั้งคู่เป็นเครื่องมือ SEO ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยจัดทำ Keyword Research ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถวิเคราะห์การแข่งขันของ Keyword หรือแม้แต่จะดูคู่แข่งว่ากำลังจัดทำ Keyword อะไรอยู่บ้าง เพื่อให้ผู้รับทำ SEO ปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหนือคู่แข่งได้ อีกทั้งยังตรวจสอบการติดอันดับของ Keyword นั้น ๆ ได้ดีอีกด้วย
Google Analytics
Google Analytics เป็นเครื่องมือฟรีที่จัดทำโดย Google เพื่อช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถวิเคราะห์ และเข้าใจเป้าหมายของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ไม่ว่าจะวิเคราะห์ระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ ว่ามีคนเข้าชมมากน้อยแค่ไหน หน้าไหนมีคนคลิกเข้าชมมาก หน้าไหนมีคนคลิกเข้าชมน้อย รวมถึงระบุเกี่ยวกับเพศ แหล่งที่อยู่ อายุ เป็นต้น
Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีที่ Google จัดทำให้ผู้ใช้งานวิเคราะห์ และการจัดทำ Keyword ในเว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาของ Google ทั้งหมด ซึ่งข้อมูลภายใน Google Search Console จะอ้างอิงจากพฤติกรรมของผู้ที่เข้ามายังเว็บไซต์เป็นหลัก จึงทำให้ปรับปรุงกลยุทธ์ในการทำ SEO ในอนาคตได้ง่ายขึ้น
SEO Specialist ช่วยให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกใน Google ได้อย่างไร

การทำให้เว็บไซต์ทะยานขึ้นไปอยู่ในอันดับแรก ๆ ของการค้นหาตามคำหลัก (Keyword) นั้น ถือเป็นประโยชน์สูงสุดของ SEO เลยค่ะ แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ไม่ได้มาง่าย ๆ เพราะมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ
ปัจจัยเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การเขียนโค้ด, การจัดโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระเบียบ, การใช้รูปภาพที่เหมาะสม, การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงตามหลัก E-E-A-T , การวางหัวข้อที่ดึงดูด, ไปจนถึงปัจจัยจากลิงก์ภายนอก (Backlinks) ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้นหาอย่างแท้จริง
การทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญอย่าง “SEO Specialist” เข้ามาตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์อย่างละเอียด ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก จากนั้นจึงวางแผนและดำเนินการ SEO ให้สอดคล้องกับธุรกิจอย่างแม่นยำที่สุด และเมื่อเว็บไซต์ของธุรกิจมีประโยชน์ต่อผู้ค้นหามากเท่าไหร่ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับต้น ๆ จนเป็นที่รู้จักมากขึ้น และนำมาซึ่งยอดขายนั่นเองค่ะ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณต้องรู้คือการจะทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกใน Google นั้น ต้องใช้เวลา ในการปรับปรุงและรอให้ Google ประมวลผล ซึ่งอาจจะกินเวลาตั้งแต่ 3-6 เดือน ไปจนถึง 8-12 เดือน เลยทีเดียวค่ะ เพราะในยุคปัจจุบันมีคู่แข่งจำนวนมากที่ต่างก็หันมาให้ความสำคัญกับการทำ SEO เพื่อแย่งชิงพื้นที่หน้าแรก Google เช่นกัน ดังนั้น ความอดทนและการทำงานอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จสำหรับการทำ SEO ค่ะ
ทำไมถึงควรจ้าง SEO Specialist

อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้นแล้วว่า SEO ถือเป็น Digital Marketing ชนิดหนึ่ง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าโฆษณา สามารถเป็นช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานหรือลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันมีหลายธุรกิจ จัดทำเว็บไซต์และหันมาทำ SEO กันมากยิ่งขึ้น เพราะด้วยช่องทางการตลาดนี้ สามารถเติบโตได้ในระยะยาว
แต่ทั้งนี้ SEO Specialist ในประเทศไทยมีจำนวนไม่มากนัก ทำให้เป็นที่ต้องการในหลาย ๆ บริษัท ซึ่งมาดูเหตุผลกันว่าทำไมถึงควรจ้าง SEO Specialist
1. เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ SEO
ผู้ที่เป็น SEO Specialist จะมีความรู้ ความเข้าใจลึกซึ้งในการใช้เครื่องมือจัดทำ SEO ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับต้น ๆ ในหน้าแสดงผลการค้นหาได้ง่ายยิ่งขึ้น
2. มีการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ
เครื่องมือค้นหาอย่าง Google มักจะปรับอัลกอริทึมอยู่บ่อยครั้ง และจะส่งผลต่อโครงสร้างภายในเว็บ และปัจจัยภายนอกอย่าง Backlinks ซึ่ง SEO Specialist จะรับผิดชอบติดตามการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมอยู่เสมอ
3. วิเคราะห์ข้อมูล SEO ได้แม่นยำ
เมื่อ SEO Specialist ใช้เครื่องมือได้คล่องแคล่วแล้ว แน่นอนว่า สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมืออย่าง Google Analytics และ Search Console จากนั้นจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุง SEO ให้มีประสิทธิมากยิ่งขึ้น
4. ผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ
SEO Specialist จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ เชื่อมโยงลิงก์ และจัดทำ Keyword Research ต่าง ๆ เพื่อทำให้เว็บไซต์เหนือคู่แข่ง และติดอันดับหน้าแรกของ Google ได้ง่ายขึ้น
5. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
แม้ว่าการทำ SEO ติดอันดับ Google จะใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้ามองในระยะยาว ถือว่าคุ้มค่า และประหยัดเวลากว่าลงมือทำด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้เช่นกัน เพราะไม่ต้องเสียค่าโฆษณานั่นเอง
บทสรุป
ในยุคดิจิทัลธุรกิจออนไลน์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสำคัญของ SEO เพิ่มมากยิ่งขึ้น ไม่แปลกใจที่หลายธุรกิจ หลายองค์กรต่างต้องการ SEO Specialist หรือ ผู้เชี่ยวชาญในการทำ SEO เพราะพวกเขามีหน้าที่หลักในการปรับปรุง วิเคราะห์ และพัฒนาการแสดงผลของเว็บไซต์ เพื่อทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงยังสามารถใช้เครื่องมือ SEO ได้อย่างคล่องแคล่ว จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม SEO Specialist ถึงมีความสำคัญ และเป็นสายอาชีพที่กำลังมาแรงในขณะนี้
สำหรับใครที่กำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO หรือ Top 20 เอเจนซี่ SEO ชั้นนำ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณติดอันดับในหน้าค้นหา Search Studio เรามีทีม SEO Specialist ที่เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ในการทำงานกับธุรกิจหลากหลายประเภท รวมถึงการใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ สามารถติดต่อเราได้ที่ admin@searchstudio.co.th หรือคลิกที่นี่ ได้เลย
FAQ
SEO Specialist จะเป็นผู้ควบคุมภาพรวมทั้งหมด รับผิดชอบในการวิเคราะห์คำค้นหา (Keyword Research), วางโครงสร้าง SEO, และตรวจสอบทั้ง On-page, Off-page, และ Technical SEO เพื่อให้มั่นใจว่าเว็บไซต์จะได้รับการจัดอันดับที่ดี ส่วน Conent Writer จะมีหน้าที่สร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพ น่าอ่าน และตรงตามหลักเกณฑ์ที่ SEO Specialist วางแผนไว้ และ Web Developer มีหน้าที่ในการแก้ไขโค้ด, ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์, และดูแลโครงสร้างทางเทคนิคตามคำแนะนำของ SEO Specialist
ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 3–6 เดือน จึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์แรก ๆ (Traffic/อันดับดีขึ้น) และอาจนานถึง 8–12 เดือน ในตลาดที่มีคู่แข่งสูง เนื่องจากต้องปรับปรุงโครงสร้างและรอ Google ประมวลผลค่ะ
SEO Specialist จะมีการปรับปรุงเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง (ทั้ง On-page และ Technical) ในการทำงานกับ Agency โดยทั่วไปจะมีการวางแผนกลยุทธ์รายเดือน และสรุปรายการที่ต้องทำ ซึ่งทางธุรกิจควรอนุมัติแผนงานหลัก ๆ ก่อนเริ่มดำเนินการ เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันและเป็นไปตามทิศทางของแบรนด์ค่ะ
ต้องให้ข้อมูลเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน, ข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย, และสิทธิ์การเข้าถึงเครื่องมือหลักของเว็บไซต์ (Google Analytics และ Google Search Console) ค่ะ
ผลลัพธ์ที่แท้จริงของการทำงานที่ดีของ SEO Specialist ไม่ได้มีแค่การติดอันดับ แต่คือการสร้างการเติบโตทางธุรกิจค่ะ เราจะพิจารณาจาก Organic Traffic ที่สูงขึ้น อันดับของ Keyword สำคัญต้องดีขึ้นจนสร้างยอดขายหรือ Lead ได้จริง ๆ และต้องมีการรายงานผลที่โปร่งใสและนำข้อมูลมาสรุปแผนปรับปรุงในอนาคตได้อย่างมืออาชีพค่ะ