ในยุคที่ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการค้นหาข้อมูลบน Google ซึ่งเป็น Search Engine อันดับ 1 ของโลก การทำ SEO จึงต้องปรับตัวตามไปด้วย บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “Semantic SEO” กลยุทธ์การทำ SEO แห่งปี 2024 ที่ไม่ใช่แค่การใช้คีย์เวิร์ดเท่านั้น แต่เป็นการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา อยากรู้ไหมว่า Semantic SEO คืออะไร? และจะนำไปใช้ได้อย่างไรบ้าง ไปหาคำตอบกันได้เลย
Semantic SEO คืออะไร?
Semantic SEO คือการสร้างเนื้อหาที่ครอบคลุม มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้นหามากที่สุด ไม่ใช่แค่เน้นคีย์เวิร์ดเดิมซ้ำๆ หลายๆ ตำแหน่ง เพื่อให้ Bot ของ Google เข้าใจ แต่ต้องมีการวิเคราะห์ และทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อ่านต้องการอย่างแท้จริงด้วย บทความนั้นจึงจะตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้งาน รวมถึงบอทของ Google และทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นไปอยู่ในหน้าแรกของการค้นหาได้
Semantic SEO แตกต่างจาก SEO อย่างไร?
ก่อนหน้านี้ Google เคยใช้การค้นหาข้อมูลโดยจับคู่คีย์เวิร์ดที่ตรงกันแบบเป๊ะๆ ระหว่างคำที่คนพิมพ์ค้นหา และคำที่อยู่ในเว็บไซต์ แต่ปัจจุบัน Google ฉลาดกว่านั้น และพยายามเข้าใจภาษามนุษย์ รวมถึงคำศัพท์ใหม่ๆ ทั้งความหมาย บริบท และเจตนาเบื้องหลังการค้นหา เพื่อนำเสนอผลลัพธ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้นมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณค้นหา “สมาร์ตโฟน ถ่ายรูป” Google จะไม่เพียงหาเว็บที่มีคำว่า “สมาร์ตโฟน” และ “ถ่ายรูป” เท่านั้น แต่จะพยายามหาเว็บไซต์ที่พูดถึงสมาร์ตโฟนที่มีกล้องดีเยี่ยม ถ่ายรูปสวย เหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ
ดังนั้นการทำ Semantic SEO จึงไม่ใช่แค่การเลือกคีย์เวิร์ดที่ถูกค้นหาเยอะ และนำมาใส่ในเนื้อหาอย่างเดียว แต่ต้องวิเคราะห์ความต้องการของผู้อ่านให้ลึกและกว้างขึ้นกว่าเดิมว่า คนที่อยากได้สมาร์ตโฟนถ่ายรูปต้องการรู้อะไร มากกว่าแค่แนะนำว่ามีรุ่นไหนบ้าง อาจจะเป็นเทคนิคในการถ่ายรูปด้วยสมาร์ตโฟน หรือเปรียบเทียบกล้องสมาร์ตโฟนรุ่นต่างๆ เป็นต้น
ทำไม Semantic SEO จึงสำคัญ?
1. กลยุทธ์ SEO แบบนี้จะช่วยให้เนื้อหาตรงกับความต้องการ หรือการค้นหาของผู้ใช้งานมากขึ้น ผลพลอยได้ที่ตามมาก็คือจะช่วยดึงดูดคนเข้ามาที่เว็บไซต์ และทำให้คนใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์นานขึ้นด้วย
2. เชื่อมโยงกับคีย์เวิร์ดได้หลากหลายมากขึ้น เพราะปัจจุบันคนไม่ได้ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว แต่อาจใส่เป็นประโยคคำถาม หรือกลุ่มคำยาวๆ เช่น “จองโรงแรมผ่านแอปไหนดี” หรือ “ที่พักหัวหินติดทะเล มีสระว่ายน้ำส่วนตัว” เป็นต้น
3. สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมินเนื้อหาบนเว็บไซต์ของ Google ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้อย่างยั่งยืน เพราะ Google มองว่าเว็บไซต์นี้มีคุณภาพ และตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดี
4. สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือ สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญ รู้ลึกรู้จริงในด้านนั้นๆ มีเนื้อหาที่น่าสนใจ และสามารถตอบคำถามของผู้ใช้งานได้อย่างครบถ้วน
5. ช่วยเพิ่ม Engagement Rate หรือการมีส่วนร่วมกับเนื้อหา และฟังก์ชันต่างๆ บนเว็บไซต์ เพราะเมื่อผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดี ก็จะคลิกดูหัวข้ออื่น กดสั่งซื้อสินค้า ฯลฯ ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังทำให้อันดับในหน้าค้นหาดีขึ้นด้วย
เทคนิควิธีการทำ Semantic SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ
1. สร้าง Topic Map
การสร้าง Topic Map คล้ายกับการสร้าง Mind Map โดยกำหนดคีย์เวิร์ดหลัก และแตกแขนงออกไปเป็นหัวข้อต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อให้เห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อต่างๆ ในขอบเขตที่กว้างขึ้น จะช่วยให้การวางแผนและจัดกลุ่มเนื้อหาเป็นระบบ ไม่หลุดจากกรอบหลักของเว็บไซต์ อีกทั้งยังสะดวกต่อการสร้าง Internal Link เชื่อมไปยังบทความที่เกี่ยวข้องกันด้วย
2. วิเคราะห์ผู้อ่าน
กลยุทธ์ SEO ที่สำคัญคือ การวิเคราะห์เป้าหมายจริงๆ ของผู้อ่าน ไม่ใช่แค่ดูว่าเขาค้นหาอะไรกันบ้าง แต่พยายามทำความเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตอบคำถามที่สงสัย รวมถึงคำถามที่คนน่าจะอยากรู้เพิ่ม เพราะเป้าหมายของเราไม่ใช่แค่การติดอันดับในคีย์เวิร์ดบางคำ แต่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รู้ทุกเรื่องในด้านนั้น
3. สืบค้นข้อมูลอย่างละเอียด
การจะเขียนคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง ละเอียด เฉพาะเจาะจง และแสดงถึงความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นออกมาได้ ต้องอาศัยการค้นคว้า วิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด และอาจจะอ้างอิงถึงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เพิ่มเติม เพื่อให้เนื้อหามีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
4. เขียนให้อ่านง่าย
ถ่ายทอดสิ่งที่คิดออกมาเป็นเนื้อหาที่เรียบง่าย กระชับ ได้ใจความ เน้นการใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาเหล่านี้ได้ดีขึ้นด้วย
5. ใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
คีย์เวิร์ดยังเป็นกลยุทธ์ SEO ที่สามารถนำมาใช้ได้ แต่ไม่ควรใส่แค่คีย์เวิร์ดหลักซ้ำๆ หรือคีย์เวิร์ดเดิมๆ ในเนื้อหาเท่านั้น ให้ใช้คำที่เกี่ยวข้อง หรือมีความหมายใกล้เคียงกันเข้ามาเสริม เพื่อให้ครอบคลุมการค้นหามากยิ่งขึ้น เช่น อาหารสุขภาพ อาจจะใช้คำว่า อาหารคลีน, อาคารไขมันต่ำ, วิธีดูแลสุขภาพ เป็นต้น
6. เพิ่มคำถามที่พบบ่อย
เพิ่มหัวข้อ “คำถามที่พบบ่อย” ที่เกี่ยวกับคีย์เวิร์ดหลัก ไว้ท้ายบทความ เพราะคนนิยมค้นหาด้วยประโยคคำถามมากขึ้น อาจจะเลือกจากคำถามจากช่อง “People Also Ask” ในหน้า Google หรือคำถามที่คนค้นหาบ่อย นำมาตอบให้ชัดเจน ตรงประเด็น เวลาคนกดเสิร์ช คำตอบก็จะเด้งขึ้นมาในหน้าแรกเลย
สรุป
สรุปสั้นๆ ได้ว่า Semantic SEO คือแนวทางการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และสอดคล้องกับ E-E-A-T หรือเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการประเมินเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ในหน้าค้นหา ซึ่งการใช้คีย์เวิร์ดก็ยังมีประโยชน์อยู่ แต่ไม่ได้มีน้ำหนักเท่าเดิม เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้อ่านที่อยู่เบื้องหลังคีย์เวิร์ดนั้นๆ จะทำให้เว็บไซต์ของคุณไปอยู่หน้าแรกของการค้นหาได้ไม่ยากเลย
สำหรับใครที่กำลังสนใจและมองหาบริการทำ SEO ให้กับธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสติดอันดับในหน้าค้นหา ที่ Search Studio เราเป็นเอเจนซี่รับทำ SEO มากประสบการณ์ เรายินดีและพร้อมให้คำปรึกษาในการวางแผนกลยุทธ์ SEO ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ สามารถติดต่อเราเพื่อพูดคุยและสอบถามได้ที่ admin@searchstudio.co.th