SEO

Semrush Study: AI Overviews บอกอะไรเราเกี่ยวกับอนาคตของ SEO ปี 2025

Fast To Read

การเปิดตัว AI Overviews ของ Google ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของโลกการค้นหาตั้งแต่ยุคที่มี Featured Snippets

ทีม Semrush ได้ทำการวิเคราะห์เชิงลึก โดยใช้ข้อมูลจากคีย์เวิร์ดนับสิบล้านคำ ตรวจสอบการซ้อนทับของฟีเจอร์ใน SERP และการเปลี่ยนแปลงการมองเห็นในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อหาคำตอบว่า Google กำลังเปลี่ยน “กติกา” อย่างไร และนักการตลาด ผู้ทำ SEO รวมถึงผู้เผยแพร่คอนเทนต์ควรปรับตัวอย่างไร

งานศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากคีย์เวิร์ดมากกว่า 10 ล้านคำ รวมทั้ง clickstream data ของ Datos (บริษัทในเครือ Semrush) เพื่อตรวจสอบผลกระทบของ AI Overviews โดยเน้นประเด็นหลัก เช่น:

  • มีกี่เปอร์เซ็นต์ของการค้นหาที่เรียก AI Overview ขึ้นมา
  • คำค้นประเภทใดที่มักถูกดึงไปใช้
  • อุตสาหกรรมไหนได้รับผลกระทบมากที่สุด
  • AI Overviews ส่งผลต่อพฤติกรรม Zero-Click อย่างไร

สรุปผลลัพธ์สำคัญจากการศึกษา

  • AI Overviews กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว: มีถึง 13.14% ของคำค้นหาทั้งหมด ที่แสดง AI Overviews ในเดือนมีนาคม 2025 เพิ่มขึ้นจาก 6.49% ในเดือนมกราคม
  • คอนเทนต์เชิงข้อมูล (Informational) มีโอกาสถูกดึงไปแสดงมากที่สุด: ถึง 88.1% ของคำค้นที่แสดง AI Overview เป็นการค้นหาเชิงข้อมูล
  • คำค้นแบบนำทาง (Navigational) ที่เรียก AI Overviews เพิ่มขึ้นเท่าตัว: จาก 0.74% ในเดือนมกราคม เป็น 1.43% ในเดือนมีนาคม
  • อุตสาหกรรมที่ถูกกระทบมากที่สุด ได้แก่: วิทยาศาสตร์ (+22.27%), สุขภาพ (+20.33%), People & Society (+18.83%) และ กฎหมาย & รัฐบาล (+15.18%)
  • Zero-Click Search: โดยเฉลี่ย คีย์เวิร์ดที่เรียก AI Overviews มีอัตราการไม่คลิกสูงกว่า (เนื่องจากเป็นคำถามเชิงข้อมูล) แต่เมื่อนำคีย์เวิร์ดเดิมมาเปรียบเทียบก่อน-หลังที่มี AI Overview พบว่า อัตรา Zero-Click ลดลงเล็กน้อย


Eugene Levin, President ของ Semrush กล่าวไว้ว่า

“การเติบโตของ AI Overviews บ่งชี้ว่าการทำการตลาดออนไลน์ต้องปรับไปสู่การสร้างคอนเทนต์ที่มองเห็นได้ใน AI Overviews ไม่ใช่แค่การจัดอันดับบนหน้า SERP อีกต่อไป”

ทำไม AI Overviews ถึงสำคัญ?

AI Overviews คือ สรุปที่สร้างขึ้นโดย AI ของ Google ซึ่งดึงข้อมูลจากหลายแหล่งมา “รวมเป็นคำตอบเดียว” ต่างจาก Featured Snippets ที่ดึงแค่บางบรรทัดจากเว็บไซต์เดียว

สิ่งที่ต้องใส่ใจ:

  • แสดงอยู่เหนือผลการค้นหา Organic
  • ลดโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้าเว็บไซต์โดยตรง
  • แย่งทราฟฟิกจาก Publisher, eCommerce, Affiliate และนักการตลาดคอนเทนต์


พูดง่าย ๆ คือ Google กำลังเปลี่ยนบทบาทจาก Search Engine เป็น Answer Engine ด้วย

วิธีการศึกษา

Semrush ใช้ข้อมูลจาก:

  • 10 ล้าน+ คีย์เวิร์ด เพื่อวัดสัดส่วนการค้นหาที่เรียก AI Overview
  • 200,000+ คีย์เวิร์ด เพื่อติดตามอัตรา Zero-Click (ม.ค. 2024 – มี.ค. 2025)
  • วิเคราะห์ความยาว ระดับความยาก (Keyword Difficulty) และปริมาณการค้นหา
  • ตรวจสอบฟีเจอร์ SERP ที่ซ้อนกับ AI Overviews
  • วิเคราะห์การมองเห็นของโดเมนในแต่ละอุตสาหกรรม


ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เห็นว่า Google เริ่มจากคีย์เวิร์ดแบบ Fact-Based ที่มีความเสี่ยงต่ำ แล้วค่อย ๆ ขยายไปยังคำค้นเชิงพาณิชย์ (Commercial) และเชิงนำทาง (Navigational)

พฤติกรรม Zero-Click: การเปลี่ยนแปลง KPI ด้าน SEO ครั้งใหญ่ที่สุด

คำถามคือ “AI Overviews กำลังแย่งคลิกจากผลการค้นหาแบบ Organic จริงหรือไม่?”

เพื่อหาคำตอบ Semrush ร่วมมือกับ Datos (บริษัทในเครือ Semrush) วิเคราะห์คีย์เวิร์ดกว่า 200,000 คำที่มีปริมาณการค้นหาเกิน 100 ทั้งในกรณีที่มีและไม่มี AI Overview ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2025

นอกจากนี้ยังติดตามคีย์เวิร์ดชุดเดิมที่ในเดือนมกราคมยังไม่มี AI Overview แต่เดือนมีนาคมเริ่มมี เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรม Zero-Click ก่อนและหลังได้โดยตรง

ผลการศึกษาพบว่า:

  • โดยเฉลี่ย คีย์เวิร์ดที่มี AI Overviews มักมีอัตรา Zero-Click สูงกว่า แต่สิ่งนี้อาจสะท้อนแค่ลักษณะของคีย์เวิร์ดเชิงข้อมูล ไม่ใช่ผลกระทบโดยตรงจาก AI Overviews
  • แม้จะมี Zero-Click สูงกว่าเฉลี่ย แต่แนวโน้มไม่ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตรงกันข้าม ระหว่างมกราคม – มีนาคม 2025 อัตรา Zero-Click ของคำค้นเหล่านี้ กลับลดลงเล็กน้อย
  • เมื่อเปรียบเทียบคีย์เวิร์ดเดิมก่อนและหลังที่เริ่มมี AI Overviews พบว่าอัตรา Zero-Click ลดจาก 38.1% → 36.2%

ข้อสรุปสำคัญ: การปรากฏของ AI Overviews ไม่ได้ทำให้ Zero-Click เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ขึ้นอยู่กับประเภทของคำค้น ความตั้งใจของผู้ใช้ และรูปแบบการนำเสนอของ Google

กี่เปอร์เซ็นต์ของการค้นหาที่เรียกใช้ AI Overviews?

ทีมวิจัย Semrush วิเคราะห์คีย์เวิร์ดกว่า 10 ล้านคำ เพื่อหาสัดส่วนของคำค้นทั้งหมดที่แสดงผล AI Overviews

ผลลัพธ์ชี้ให้เห็นว่าในปี 2025 ตัวเลขการปรากฏของ AI Overviews เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว:

  • เดือนมกราคม: AI Overviews ปรากฏใน 6.49% ของคำค้นทั้งหมด
  • เดือนกุมภาพันธ์: เพิ่มขึ้นเป็น 7.64% (+18%)
  • เดือนมีนาคม: พุ่งขึ้นถึง 13.14% (+72% จากเดือนก่อนหน้า)

ข้อมูลนี้สะท้อนว่า AI Overviews ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ชั่วคราว แต่กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้ โดยเฉพาะกับคอนเทนต์เชิงข้อมูล (informational content) ที่ถูกนำไปแสดงบ่อยที่สุด

คำค้นแบบไหนที่ทำให้เกิด AI Overviews?

ทีม Semrush วิเคราะห์คีย์เวิร์ดจำนวน 10,000 คำ ที่เรียกใช้ AI Overviews และนี่คือสิ่งที่พบ:

ลักษณะทั่วไปของคีย์เวิร์ดที่เรียก AI Overview

จากข้อมูลพบว่า AI Overviews มักจะปรากฏกับคีย์เวิร์ดแบบ Long-tail ที่เป็นการค้นหาเชิงข้อมูล (Informational) และมีความยากต่ำ (Low Difficulty) ไม่ใช่คีย์เวิร์ดเชิงธุรกรรมหรือคำค้นที่มีปริมาณการค้นหาสูง

นี่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Google เช่น Featured Snippets และ People Also Ask (PAA) ที่เริ่มจากคำถามเชิงข้อเท็จจริง ก่อนจะขยายไปสู่คำถามที่มีความกำกวม หรือมีประเด็นถกเถียง

ตัวอย่าง:

  • คำค้นเชิงข้อมูลอย่าง “What is BMR” ปัจจุบันจะแสดง AI Overview
  • แต่คำค้นเชิงพาณิชย์อย่าง “Best protein powder” จะไม่แสดง AI Overview

ข้อมูลนี้สะท้อนว่า Google เริ่มจาก “คำค้นที่ปลอดภัยที่สุด” คือ คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ เป็นข้อเท็จจริง และ CPC ต่ำ คล้ายกับช่วงแรกที่เปิดตัว Featured Snippets

อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นเพียง “ช่วงทดสอบ” เท่านั้น สำหรับธุรกิจแล้ว หมายความว่า คอนเทนต์แบบ Top-of-Funnel เช่น คำจำกัดความ การเปรียบเทียบ และ FAQ คือจุดที่เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดที่สุดตอนนี้ แม้จะทำให้พฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนไป แต่ก็เปิดโอกาสใหม่ในการสร้างการมองเห็นและเสริมความน่าเชื่อถือของแบรนด์

Eugene Levin, President ของ Semrush อธิบายว่า

“Google เริ่มจากการเลือกคำค้นที่เป็นข้อเท็จจริงและปลอดภัยที่สุด แต่นี่ก็เป็นสัญญาณให้ธุรกิจเตรียมคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อเพิ่มการมองเห็นให้มากขึ้น”

คำถามต่อมาคือ: Google แค่กำลังทดสอบกับคำค้นที่ความเสี่ยงต่ำอยู่หรือไม่ ก่อนที่จะขยาย AI Overviews ไปยังคำค้นประเภทอื่น ๆ?

เพื่อหาคำตอบ ทีม Semrush จึงได้วิเคราะห์คีย์เวิร์ดกว่า 10 ล้านคำอีกครั้ง เพื่อดูว่าการตั้งเจตนาค้นหา (Search Intent) ของคำค้นที่เรียก AI Overviews มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป…

เจตนาการค้นหาของคำที่ทำให้เกิด AI Overview
จากการวิเคราะห์ พบข้อสรุปที่ชัดเจนว่า AI Overviews ยังไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คอนเทนต์ที่เน้น Conversion โดยตรง

เจตนาการค้นหาของคำที่ทำให้เกิด AI Overview

จากการวิเคราะห์ พบข้อสรุปที่ชัดเจนว่า AI Overviews ยังไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คอนเทนต์ที่เน้น Conversion โดยตรง

แต่ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา สัดส่วนของคีย์เวิร์ดที่เรียก AI Overview ในกลุ่ม Commercial, Transactional และ Navigational เริ่มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ได้แก่:

  • คำค้นเชิงพาณิชย์ (Commercial): เพิ่มจาก 6.28% → 8.69%
  • คำค้นเชิงธุรกรรม (Transactional): เพิ่มจาก 1.69% → 1.76%
  • คำค้นแบบนำทาง (Navigational): เพิ่มจาก 0.74% → 1.43%

ความหมายของตัวเลขนี้

  • คอนเทนต์แบบ Top-of-Funnel (ข้อมูลทั่วไป) ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจาก AI Overviews
  • มีการเพิ่มขึ้นของคีย์เวิร์ด Middle-Funnel และ Bottom-Funnel ที่เริ่มถูก AI Overview ดึงมาแสดงตั้งแต่เดือนมกราคม
  • การที่ Navigational queries เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เป็นสัญญาณว่าแม้แต่ Branded Traffic ก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน

คีย์เวิร์ดที่มีโอกาสสูง (ในตอนนี้)

ส่วนใหญ่แล้ว AI Overviews ยังมุ่งไปที่คำค้นเชิงข้อมูลที่ CPC ต่ำ หมายความว่า คีย์เวิร์ดที่มีมูลค่าทางพาณิชย์สูง (CPC > $2 และ Keyword Difficulty <30%) ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกแตะต้อง
Semrush ใช้ข้อมูล CPC และ KD เพื่อกรองหาคำค้นที่:

  • มีมูลค่าทางธุรกิจสูง
  • ยังไม่ถูกดึงไปแสดงใน AI Overviews
  • มีโอกาสจัดอันดับได้ง่าย


ตัวอย่างเช่น:

ข้อสรุป: นี่คือคีย์เวิร์ดที่ยังไม่ถูกดึงไปแสดงใน AI Overviews และมีโอกาสสร้างทราฟฟิกได้ง่าย

Aleyda Solis, ผู้ก่อตั้ง Orainti และ International SEO Consultant อธิบายว่า

“การที่คีย์เวิร์ดที่ถูกแสดงใน AI Overview หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี (case-by-case) หากแบรนด์ถูกอ้างถึงใน AI Overview หรือยังได้อันดับใน Organic อยู่ อาจคุ้มที่จะปรับคอนเทนต์เพื่อเข้าไปอยู่ในคำตอบนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ การโฟกัสคีย์เวิร์ดเชิงพาณิชย์ที่ส่งผลต่อรายได้โดยตรงอาจให้ความคุ้มค่ามากกว่า”

รูปแบบของคีย์เวิร์ด: คำค้นที่เรียก AI Overviews มีลักษณะอย่างไร?

Semrush ได้ทำการวิเคราะห์โครงสร้างและความยาวของคีย์เวิร์ดที่ทำให้เกิด AI Overviews แล้วเปรียบเทียบกับคีย์เวิร์ดที่ไม่ทำให้เกิด AI Overviews

พบว่าคีย์เวิร์ดที่เรียก AI Overviews มักจะยาวกว่าเล็กน้อย และมีแนวโน้มที่จะเป็นคำถามที่ต้องการคำอธิบาย (clarifications), การเปรียบเทียบ (comparisons) หรือคำนิยาม (definitions) รูปแบบนี้สอดคล้องกับ “คำถามเชิงข้อมูล” แบบดั้งเดิมของ SEO

โดยทั่วไป คำเหล่านี้จะยาวกว่าคีย์เวิร์ดเชิงนำทาง (navigational) แต่สั้นกว่าคำค้นแบบสนทนา (conversational search) ตัวอย่างเช่น:

  • Definitions: “what is intermittent fasting”
  • Comparisons: “difference between debit and credit”
  • Clarifications: “can dogs eat grapes”


คีย์เวิร์ดลักษณะนี้เคยเป็น “เสาหลัก” ของกลยุทธ์ SEO มานาน แต่ตอนนี้แบรนด์ต้องเจอกับคู่แข่งใหม่คือ AI Overviews ที่เข้ามาแย่งความสนใจและการคลิกใน SERPs

ข้อสรุปสำคัญ: Google มักเลือกคำถามที่ชัดเจน อิงข้อเท็จจริง และสามารถสรุปเป็นคำตอบกลางได้อย่างมั่นใจ

AI Overviews ปรากฏบ่อยที่สุดในคำค้นที่ CPC ต่ำและปริมาณการค้นหาต่ำ เกือบ 60% ของคีย์เวิร์ด มีจำนวนการค้นหาต่อเดือนน้อยกว่า 100 ครั้ง และมากกว่า 65% อยู่ในช่วง Keyword Difficulty ระดับ 21 – 60 ซึ่งหมายความว่า Google กำลังเลือกคำค้นที่มีการแข่งขันปานกลางใน Organic Search แต่สร้างรายได้จากโฆษณาได้ค่อนข้างน้อย

อินไซต์ที่ลึกขึ้น:

  • มากถึง 95% ของคีย์เวิร์ดที่มี AI Overviews ไม่มีโฆษณาเลย หรือ CPC ต่ำมาก
  • นั่นแปลว่า Google ใช้ AI Overviews กับคำค้นที่ “ทำเงินได้ยาก” เพื่อเลี่ยงการกระทบต่อรายได้จากโฆษณาของตัวเอง


ข้อสรุปสำคัญ:
AI Overviews กำลังขยายไปทั่วเส้นทางการค้นหาของผู้ใช้ แต่ Google เริ่มจากคำค้นที่ปลอดภัยและสร้างรายได้น้อยที่สุด ดังนั้น แม้ประสบการณ์ผู้ใช้กำลังเปลี่ยน แต่โมเดลรายได้โฆษณาของ Google ยังคงเดิม (อย่างน้อยก็ในตอนนี้)

ตำแหน่งที่ AI Overviews ปรากฏและการซ้อนทับกับฟีเจอร์ SERP

คำถามคือ AI Overviews กำลังมาแทนที่ฟีเจอร์เดิมใน SERP หรือเพียงแสดงควบคู่ไปกับมัน? เพื่อหาคำตอบ Semrush จึงได้ตรวจสอบว่า ฟีเจอร์ใดในผลการค้นหามักปรากฏร่วมกับ AI Overviews

สิ่งที่ข้อมูลบอกเรา

  • AI Overviews ไม่ได้มาแทนที่ฟีเจอร์เดิม แต่ถูกซ้อนทับลงบนรูปแบบที่มีอยู่แล้ว (อย่างน้อยก็ในตอนนี้)
  • คอนเทนต์ที่มีโครงสร้างชัดเจนและใช้ภาพประกอบ เช่น วิดีโอ รีวิว และ FAQs มีแนวโน้มที่จะอยู่รอดได้มากกว่า
  • ฟีเจอร์ที่สร้างรายได้โดยตรง เช่น โฆษณา (Ads), Shopping และ News แทบไม่ถูกแสดงร่วมกับ AI Overviews (น้อยกว่า 1%)


Nick Eubanks, VP of Owned Media ของ Semrush อธิบายว่า

“เว็บไซต์ที่ถูกนำไปแสดงใน AI Overviews มากที่สุดตอนนี้ ได้แก่ Reddit, Quora และ YouTube โดยเฉพาะวิดีโอที่มีการอ้างอิงและถูกดึงไปแสดงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และเมื่อเทคโนโลยี AI พัฒนาการแปลงวิดีโอเป็นข้อความ แนวโน้มนี้ก็น่าจะต่อเนื่องยิ่งขึ้น”

เจาะเทรนด์: อุตสาหกรรมใดได้รับผลกระทบจาก AI เป็นกลุ่มแรก?

อุตสาหกรรมใดบ้างที่ได้รับผลกระทบจาก AI Overviews มากที่สุดจนถึงตอนนี้?

ทีม Semrush ได้เปรียบเทียบอัตราการเติบโตของจำนวน SERPs ที่มี AI Overviews ระหว่าง กันยายน 2024 – มีนาคม 2025 เพื่อดูว่าอุตสาหกรรมใดได้รับผลกระทบในช่วงแรกและปัจจุบันต่างกันอย่างไร

สิ่งที่น่าสนใจ

1. วิทยาศาสตร์ได้รับผลกระทบก่อน (+22.27%)

เนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์มักมีข้อมูลเป็นระบบ มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน และคำตอบตรงกันอยู่แล้ว ทำให้ AI สามารถเอาไปสรุปได้ง่าย จึงกลายเป็นหมวดแรก ๆ ที่ถูกกระทบก่อนใคร

2. สุขภาพ สังคม กฎหมาย: ประเด็นอ่อนไหวที่ Google กล้าลุย

ไม่แปลกที่หมวดนี้จะโต เพราะหมวดนี้เต็มไปด้วยคำถามเชิงข้อมูล แถมเต็มไปด้วยแรงกดดันจากกฎระเบียบและความเสี่ยงข้อมูลผิดพลาด แต่ก็น่าสนใจที่ Google เลือกดัน AI Overview อย่างจริงจัง นั่นแปลว่า Google เริ่มมั่นใจว่าโมเดลของตัวเองตอบได้แม่นยำขึ้น

3. ข่าวและกีฬา: Google ยังไม่กล้าเล่นกับข้อมูลเรียลไทม์

สองหมวดนี้คือเรื่องที่คนอยากได้ข้อมูลอัปเดตแบบเรียลไทม์ แต่กลับโตช้ากว่าหมวดอื่น แสดงว่า Google ยังไม่อยากเสี่ยงใช้ AI Overview กับข่าวหรือเหตุการณ์สด ๆ Google เล่นอย่างระมัดระวังกับข้อมูลที่เปลี่ยนเร็วมาก

4. อาหาร & เครื่องดื่ม กับ บ้าน & สวน: โตช้ากว่าที่คิด

จริง ๆ แล้วน่าจะโตใกล้เคียงกับสัตว์เลี้ยงหรือยานยนต์ เพราะมีทั้งคำถามเชิงข้อมูลและเชิงธุรกรรมผสมกัน แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น แสดงว่า Google ยังไม่เร่งผลักดันในกลุ่มนี้ เป็นหมวดที่ควรจับตาดูว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไงต่อ

5. อสังหาฯ และช้อปปิ้ง: โตช้าที่สุด

โตช้าที่สุด เพราะสองหมวดนี้เน้นคำค้นที่เกี่ยวกับการซื้อขายโดยตรง Google เลยยังไม่อยากให้ AI เข้ามามีบทบาทมากนัก สำหรับอสังหาฯ ยังมีข้อดีอยู่ ตรงที่คอนเทนต์ที่เจาะพื้นที่ (local) ยังปลอดภัยอยู่ในตอนนี้

Mordy Oberstein จาก Unified Brand Marketing อธิบายง่าย ๆ ว่า

“AI Overviews ก็เหมือน Local Pack เวอร์ชันที่ไม่ค่อยมีรูป หากคุณค้นหา “pizza NYC” แล้วเจอร้าน Joe’s Pizza ใน Local Pack ส่วนใหญ่ก็จะไม่เข้าเว็บไซต์ แต่ไปที่ร้านเลย ส่วน AI Overviews อาจไม่มีข้อมูลละเอียดเท่า เช่น รูปหรือรีวิว แต่การถูกแสดงใน AI ก็เพียงพอที่จะทำให้คนค้นหาตามชื่อแบรนด์ต่อได้ ต่างกันตรงที่ ถ้าอยากโผล่ใน AI Overview คุณต้องไม่เพียงแค่ปรับ Google Business Profile แต่ต้อง “ปรับทั้งเว็บไซต์และโปรไฟล์ออนไลน์ทั้งหมด” ซึ่งซับซ้อนกว่ามาก”

ข้อคิดเชิงกลยุทธ์สำหรับนักการตลาดและผู้ทำ SEO

การขยายตัวของ AI Overviews ตามอุตสาหกรรม

แล้วเว็บไซต์หรืออุตสาหกรรมไหนบ้างที่โดน AI Overviews กระทบมากที่สุด?

เพื่อหาคำตอบ ทีม Semrush ได้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของจำนวนคีย์เวิร์ดเฉลี่ยต่อโดเมนที่ไปกระตุ้นให้เกิด AI Overviews ระหว่าง มกราคมถึงมีนาคม 2025 เพื่อดูว่าอุตสาหกรรมไหนกำลังเร่งขึ้นและเร็วแค่ไหน

ผลที่ออกมาคือ: แทบทุกอุตสาหกรรมในเดือนกุมภาพันธ์มีการชะลอตัวหรือลดลงเล็กน้อย แต่พอถึงมีนาคม จำนวนคีย์เวิร์ดที่กระตุ้นให้เกิด AI Overviews กลับพุ่งขึ้นมากกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับกุมภาพันธ์

สรุปสำคัญ

อุตสาหกรรมใดได้รับลิงก์มากที่สุดจาก AI Overviews?

ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่มี AI Overviews จะแสดงลิงก์ออกไปยังเว็บไซต์เสมอไป

ดังนั้น ทีม Semrush จึงวิเคราะห์ว่ามีคีย์เวิร์ดเฉลี่ยต่อโดเมนกี่คำที่ถูกดึงไปแสดงอยู่ในสรุปของ AI Overviews โดยตรง หรือพูดง่าย ๆ คือ เว็บไซต์ที่ไม่ได้แค่ปรากฏใน Organic Results ปกติแต่ถูกนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่สร้างด้วย AI เลย ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ

เมื่อนำข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์มาเทียบกับมกราคม และเดือนมีนาคมเทียบกับทั้งสองเดือนแรก จะเห็นพัฒนาการของโมเดล Google ในการ “เลือกเชื่อมั่น” ว่าโดเมนไหนสมควรถูกนำไปประกอบคำตอบ ช่วงที่ตัวเลขลดลงในกุมภาพันธ์ก็น่าจะสะท้อนว่า Google กำลังปรับสมดุลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านสัญญาณคุณภาพ การทดสอบข้อมูล หรือการปรับนโยบาย

Cindy Krum, Founder & CEO ของ MobileMoxie อธิบายว่า

“สิ่งที่ต้องจำไว้คือ LLMs และเครื่องมือค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังไม่มีระบบ crawler ที่ซับซ้อนเท่า Google และก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเบราว์เซอร์ที่คนใช้มากที่สุดในโลกเหมือน Google ด้วย ดังนั้นกลยุทธ์ SEO ต้องปรับใหม่ เพราะ AI Search จะพึ่งพาฟีดข้อมูล ฐานข้อมูล และ API มากกว่าที่เคย ซึ่งเราก็เริ่มเห็นแล้ว เช่นที่ ChatGPT เปิดให้ดึงข้อมูลผ่าน Product Feed

การเปลี่ยนแปลงวิธีการค้นหาแบบนี้จะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้นักการตลาดและนักทำ SEO ต้องหาวิธีปรับแต่งคอนเทนต์และข้อมูลให้เหมาะกับการถูกดึงไปใช้งานมากขึ้น”

วิธีติดตามการมองเห็นใน AI

แล้วเราจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปใช้อย่างไร? ทีมการตลาดสามารถติดตามได้ว่าแบรนด์ของตัวเองถูกมองเห็นในเครื่องมือ AI มากน้อยแค่ไหน

เครื่องมือที่ช่วยติดตามการมองเห็นใน AI ได้ดีที่สุด ได้แก่:

  • Semrush SEO Toolkit
  • AI SEO Toolkit
  • Enterprise Platform

ชุดเครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้การปรับคอนเทนต์สำหรับ AI Overviews ง่ายขึ้น และยังตรวจสอบได้ว่าแบรนด์ของคุณทำผลงานได้ดีเพียงใด

ตัวอย่างการใช้งาน

  • Keyword Overview ช่วยค้นหาคำค้นที่มีความยากต่ำ ปริมาณการค้นหาปานกลาง และมีมูลค่าทางธุรกิจ แต่ยังไม่แข่งขันสูง
  • Keyword Magic Tool ใช้สร้างคอนเทนต์ที่สะท้อนวิธีการถามของผู้ใช้และ AI เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะถูกดึงไปแสดง
  • Organic Research ใช้ตรวจสอบว่าคู่แข่งคนไหนปรากฏอยู่ในผลลัพธ์ของ AI Overviews และพวกเขาใช้คอนเทนต์รูปแบบใด
  • Position Tracking ใช้ติดตามว่าแบรนด์ของคุณปรากฏอยู่ใน AI Overviews หรือไม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น พร้อมแจ้งเตือนเมื่อมีความเคลื่อนไหว


สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง เครื่องมือ AI SEO Toolkit จะช่วยติดตามภาพรวมและค้นหาโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ได้สะดวก

สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน ควรใช้ Semrush Enterprise ที่มีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น

  • AI Overview Analysis ช่วยตรวจสอบว่าหน้าเพจของคุณปรากฏใน AI Overviews ของ Google หรือไม่ พร้อมคำแนะนำในการปรับโครงสร้างและคอนเทนต์เพื่อเพิ่มโอกาสการมองเห็น
  • AI Optimization (AIO) ช่วยวิเคราะห์ว่าแบรนด์ของคุณถูกนำเสนออย่างไรในแพลตฟอร์ม AI Search ต่าง ๆ เช่น ChatGPT, Perplexity และ Gemini โดยสามารถติดตามการกล่าวถึงแบรนด์ ความรู้สึกของผู้ใช้ แหล่งอ้างอิง และข้อมูลคู่แข่งแบบเรียลไทม์ เพื่อทำความเข้าใจและขยายการมองเห็นได้ดียิ่งขึ้น

เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ไม่มีการคลิกหรือไม่?

AI Overviews ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงด้านการจัดอันดับเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนวิธีที่ Google ใช้ในการตอบคำถามของผู้ใช้ด้วย เมื่อหน้าผลการค้นหาถูกสร้างสรรค์โดย AI มากขึ้น SEO จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันเพื่อแย่งอันดับ แต่คือการสร้าง “การปรากฏตัว” ภายในคำตอบของ AI

แบรนด์ที่ปรับตัวได้เร็วจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือ คว้าพื้นที่การมองเห็นบน SERP และเติบโตได้ในโลกการค้นหายุคใหม่ที่ไม่อิงเพียงการคลิกเหมือนที่ผ่านมา

บทส่งท้าย

AI Overviews กำลังเปลี่ยนเกม SEO อย่างสิ้นเชิงในปี 2025 จากที่เคยแข่งขันกันบนอันดับใน SERP วันนี้นักการตลาดต้องหาวิธีสร้างการมองเห็นภายในคำตอบที่ Google สร้างขึ้นด้วย AI การศึกษาของ Semrush ชี้ว่า คำค้นเชิงข้อมูลและคอนเทนต์ Top-of-Funnel ถูกนำไปใช้มากที่สุด ขณะที่อุตสาหกรรมอย่างวิทยาศาสตร์ สุขภาพ และกฎหมายคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบแรงที่สุด แม้หลายคนกังวลเรื่อง Zero-Click แต่ผลลัพธ์แสดงว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงกันข้าม การปรับตัวเชิงกลยุทธ์อาจสร้างโอกาสใหม่ได้ด้วยซ้ำ

สิ่งนี้สะท้อนว่า SEO ไม่ได้จบที่การสร้างทราฟฟิก แต่คือการออกแบบคอนเทนต์ที่ทั้งผู้ใช้และ AI มองเห็นคุณค่า แบรนด์ที่ปรับตัวเร็วจะสามารถเสริมความน่าเชื่อถือ คว้าพื้นที่บน SERP และขยายการเข้าถึงได้มากกว่าเดิม สำหรับธุรกิจที่มองหาแนวทางที่ยั่งยืน Search Studio พร้อมช่วยคุณวางกลยุทธ์ SEO และ Content Marketing ที่ตอบโจทย์ทั้งโลกของ Search Engine และ Answer Engine เพื่อให้แบรนด์ของคุณเติบโตอย่างมั่นคงในยุค AI Search

Written By

แบมมองว่า SEO ที่ดีคือการผสมกันอย่างลงตัวระหว่างเทคนิค การเล่าเรื่อง และความเข้าใจลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจของคุณถูกเจอในเวลาที่เหมาะ ดึงดูดลูกค้าที่ใช่ และสร้างความสัมพันธ์ที่ยืนยาว ให้การติดอันดับบน Google ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโต
Views
Related Article

รับคำปรึกษา
SEO ฟรี!

ตรวจสถานะ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ ฟรี พร้อมคำแนะนำจาก SEO Specialist ของเรา มูลค่า 35,000 บาท

มีจำนวนจำกัด เท่านั้น ติดต่อเราเลย

Let’s talk

Got an idea in your mind? Pop your info into our form
and we will get back to you shortly.