การทำธุรกิจคือการหวังผลกำไรและเซฟต้นทุนให้ได้มากที่สุด ยิ่งธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลายประเภท การนำข้อมูลด้านผลกำไรมาวิเคราะห์จะช่วยให้ธุรกิจสามารถนำมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการตัวไหนที่ได้ผลกำไรสูงสุด หรือติดลบ เพื่อใช้ในการวางแผนการลงทุนให้ดีขึ้นต่อไปในอนาคต
บทความนี้เราจะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับวิธีการคำนวณผลกำไรจากการลงทุนที่เรียกว่า ROI กัน ROI คืออะไร? มีประโยชน์สำหรับธุรกิจของคุณอย่างไรบ้าง? มาเรียนรู้ง่าย ๆ ไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความนี้ค่ะ
ROI คืออะไร?
ROI หรือ Return on Investment คือ อัตราส่วนที่ใช้วัดประสิทธิภาพของการลงทุนโดยการนำกำไรหรือกำไรสูงสุดที่ได้รับจากการลงทุนมาหารด้วยต้นทุนของการลงทุนนั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจได้ว่าการลงทุนนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน และช่วยในการตัดสินใจว่าควรลงทุนในสิ่งที่ไหนเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด ซึ่งคำนวณมาจากเงินคืนที่ได้มาจากการลงทุน ซึ่งเกี่ยวข้องกับต้นทุนทางธุรกิจโดยตรง วิธีการคำนวณ Return on Investment คือ นำผลกำไรหรือเงินคืนที่ได้ตั้ง แล้วหารด้วยต้นทุนจากการลงทุนนั้น ๆ ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์หรืออัตราส่วน ซึ่งมักเป็นวิธีในการคำนวณแล้วนำมาเปรียบเทียบดูว่าการลงทุนไหนที่ได้รับผลตอบแทนดีที่สุด
ROI หรือ Return on Investment คือวิธีการวัดผลที่ได้รับความนิยมเนื่องจากคำนวณได้ง่าย สามารถนำมาวิเคราะห์ทางด้านธุรกิจหรือการเงินได้อย่างหลากหลาย เช่น การลงทุนในหุ้นแต่ละตัวเป็นยังไงบ้าง หรือการคาดการณ์ ROI จากการขยายโรงงาน หรือ ROI ที่ได้จากการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ROI สามารถนำมาวิเคราะห์ เพื่อประกอบการตัดสินใจทางด้านธุรกิจได้อย่างไรบ้าง?
หาก ROI ได้ผลออกมาเป็นบวก ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการลงทุนนั้นได้ผลกำไร แต่หากลองนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็อาจจะมีโอกาสด้านการลงทุนอื่น ๆ อีกที่ได้ผลกำไรที่ดีกว่า ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมสำหรับนักลงทุนในการพิจารณาว่าตัวเลือกไหนคือตัวเลือกที่ดีกว่าในการลงทุน และหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มี ROI เป็นลบ เนื่องจากขาดทุนนั่นเอง
ROI คำนวณยังไง?
ตัวอย่างการคำนวณ ROI ง่าย ๆ เช่น
นาย A ลงทุนในหุ้นของบริษัทหนึ่งเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 50,000 บาท แต่ขายหุ้น 1 ปีต่อมาได้ในราคา 65,000 บาท วิธีการคำนวณ ROI ก็คือ
กำไรซึ่งคิดได้จากราคาขาย – ราคาซื้อ
65,000 – 50,000 = 15,000 บาท
แล้วนำกำไรที่ได้มาหารด้วยราคาซื้อซึ่งเป็นราคาต้นทุน
15,000/50,000*100 = 0.3 หรือ 30%
เมื่อคำนวณในลักษณะเดียวกันกับหุ้นตัวอื่น ๆ ที่นาย A ซื้อ ก็สามารถเปรียบเทียบอย่างเข้าใจได้ง่ายและเห็นได้ชัดเลยว่าหุ้นตัวไหนที่ได้ค่าตอบแทนมากกว่ากัน
ROI Marketing คืออะไร?
นอกจากตัวอย่างการคำนวณ ROI จากการลงทุนดังกล่าวแล้ว เจ้าของธุรกิจก็ยังสามารถนำ ROI มาคำนวณทางด้านการตลาดหรือที่เรียกว่า ROI Marketing ได้ด้วย เช่น นำมาวิเคราะห์เกี่ยวกับเงินคืนที่ได้จากการลงทุนด้านโฆษณาสำหรับธุรกิจ ว่าใช้เงินลงทุนกับโฆษณาสำหรับสินค้าหนึ่งในราคาเท่านี้ สามารถขายได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่
นำผลลัพธ์ของเงินคืนที่ได้มาหารด้วยต้นทุน ก็สามารถนำมาเปรียบเทียบในแต่ละปีหรือไตรมาสได้ว่า การลงทุนโฆษณาไปกับสินค้าไหนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด เป็นต้น หรือหากต้องการรีโนเวตบ้านหรือห้องเพื่อเปิดให้เช่า ก็สามารถคำนวณเพื่อคาดการณ์ได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เป็นเงินคืนที่คุ้มค่าไหมในแต่ละที่
การคำนวณ ROI คืออะไรที่ยังมีข้อจำกัดที่ควรคำนึงถึงหลายอย่าง เพราะนอกจากตัวเลขที่ถูกนำไปใช้ในการคำนวณแล้ว ไม่ได้มีการรวมความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น การคำนวณ ROI สำหรับการเลือกลงทุนในหุ้น อาจจะได้ผลที่ออกมาในเชิงบวกที่เกินจริงมากจนเกินไป เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอนด้านอื่น ๆ ที่ต้องนำมาใช้ประกอบการพิจารณาร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม ROI ก็เป็นการคำนวณเงินคืนง่าย ๆ ที่ทุกธุรกิจสามารถนำไปลองปรับใช้และวิเคราะห์การลงทุนและดำเนินงานเองได้ง่าย ๆ ผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ให้กำไรมากที่สุด ตัวไหนที่ควรผลิตเพิ่ม ตัวไหนที่อาจไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก พิจารณาจากรายได้อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ ให้ลองใช้ ROI คำนวณเพื่อเปรียบเทียบจากต้นทุนในหลาย ๆ มิติดู
บทส่งท้าย
ROI คืออะไร? หลาย ๆ คนก็น่าจะทำความเข้าใจกันได้มากขึ้นแล้ว ซึ่งนอกจากผลกำไรที่ต้องคำนึงถึง การประหยัดต้นทุนก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ ROI ของคุณสูงขึ้นเช่นกัน หากอยากมีค่า Marketing ROI ที่คุ้มค่า ให้เราช่วยโฆษณาผ่าน Google และใช้เทคนิค SEO ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายบนโลกออนไลน์ได้แบบยาว ๆ กัน