การทำ SEO ให้เว็บไซต์ เป็นการแสดงหน้าร้านค้าในรูปแบบออนไลน์ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google, Yahoo, Bing และอื่น ๆ อีกทั้งยังสามารถซื้อสินค้าและบริการบนเว็บไซต์นั้น ๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้เว็บไซต์ถือเป็นสื่อทางการตลาด และเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เพิ่มยอดขาย ขยายกลุ่มเป้าหมาย และโปรโมทสินค้าได้อย่างง่ายดาย
แต่ทว่าประเภทของเว็บไซต์ก็มีอยู่มากมาย และหลาย ๆ คนก็อาจจะสงสัยหรือสับสนกับคำว่า “เว็บไซต์” และ “เว็บเพจ” คืออะไรกันแน่? แล้วมีความแตกต่างกันอย่างไร? ดังนั้นภายในบทความนี้จะไขข้อสงสัยให้กับคุณ และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามเนื้อหาด้านล่างกันได้เลยค่ะ
Website และ Webpage ต่างกันอย่างไร?
ก่อนที่จะไปดูถึงความแตกต่างระหว่าง Website และ Webpage เราไปดูความหมายของทั้งสองคำว่า เว็บไซต์ (Website) คืออะไร? และเว็บเพจ (WebPage) คืออะไร?
โดยเริ่มต้นทำความรู้จัก เว็บไซต์ (Website) คือ เว็บไซต์ที่มีการเชื่อมโยงหน้าเว็บภายใต้ Domain เดียวกันทั้งหมด และเข้าถึงได้ผ่าน Web Browser ซึ่ง Website จะประกอบไปด้วยหน้าหลัก (Homepage) ถือเป็นหน้าแรกของเว็บไซต์ รวมถึง Page หรือ Blog ที่แสดงเป็นเนื้อหาย่อย ๆ ของเว็บไซต์ เช่น หน้าบทความ หน้าสินค้า หน้าติดต่อเรา และอื่น ๆ
ส่วนเว็บเพจ (Web Page) คือ หน้าเว็บที่ปรากฏบน Web Browser โดยหากคุณเข้าเว็บไซต์ด้วย URL หรือที่อยู่เว็บไซต์ จะเห็นหน้าเว็บที่มีเนื้อหาประกอบไปด้วยข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และอื่น ๆ ซึ่งอาจจะมีลิงก์ไปยังหน้าเว็บอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอกเว็บไซต์เดียวกัน โดยหน้าเว็บนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยใช้ภาษา HTML และอาจใช้ CSS หรือ JavaScript สำหรับการออกแบบและฟังก์ชันต่าง ๆ เป็นต้น
ดังนั้นหากพูดถึงความแตกต่างระหว่าง Website และ Webpage คือ เว็บไซต์จะมี Homepage เป็นหน้าหลัก เพื่อแสดงหน้าเว็บแบบเป็นชุด เข้าถึงได้หลากหลายหน้า ส่วนเว็บเพจจะแสดงหน้าเว็บแบบหน้าเดี่ยวๆ อาจจะเน้นเรื่องเฉพาะ เช่น เป็นบทความ หรือข้อมูลสินค้า หรือแม้แต่หน้าติดต่อ ซึ่งการทราบถึงความแตกต่างระหว่าง Website และ Webpage จะช่วยให้คุณประโยชน์ในการจัดทำเว็บไซต์สำหรับธุรกิจได้สำเร็จมากขึ้นนั่นเอง
เว็บไซต์มีกี่ประเภท? อะไรบ้าง?
เมื่อเข้าใจความหมายของเว็บไซต์และเว็บเพจแล้ว ต่อไปคือสิ่งที่คุณต้องรู้ คือ เว็บไซต์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง? เพื่อให้คุณจัดเนื้อหาภายในเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ พร้อมทั้งปรับ Mood & Tone ให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ที่คุณสร้างขึ้น โดยเราจะมาพูดถึงประเภทเว็บไซต์ในปัจจุบันว่ามีอะไรบ้าง ดังนี้
1. เว็บไซต์ส่วนตัว (Personal Website)
เว็บไซต์ส่วนตัวที่เอาไว้ถ่ายทอดประสบการณ์หรือข้อมูลของตัวเอง เช่น การแบ่งปันความคิด ความชอบ ความสนใจ หรือการสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนตัวต้องมีการปรับปรุงและอัปเดตเนื้อหาให้สดใหม่อย่างสม่ำเสมอ
2. เว็บไซต์ขายสินค้า (E-Commerce Website)
เว็บไซต์ขายสินค้า สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ผ่านหน้าเว็บไซต์ โดยภายในเว็บไซต์จะแสดงข้อมูลรายละเอียดสินค้า โปรโมชั่นต่างๆ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงมีช่องทางการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็วอีกด้วย
3. เว็บไซต์องค์กรหรือบริษัท (Business Website)
เป็นเว็บไซต์ของทุกธุรกิจที่เอาไว้โปรโมทธุรกิจ ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา พันธกิจ โครงสร้างองค์กร สินค้า บริการ กิจกรรม ข่าวสาร บทความที่น่าสนใจ ช่องทางติดต่อ และอื่น ๆ ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์
4. เว็บไซต์เพื่อความบันเทิง (Entertainment Website)
เป็นเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเพื่อความบันเทิง หรือข่าวสารอัปเดตในวงการบันเทิง เช่น ดารา เพลง กีฬา ดูดวง ข่าวเกม และอื่น ๆ รวมถึงการให้บริการดาวน์โหลดสื่อชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
5. เว็บบล็อก (Blog Website)
เว็บบล็อกใช้สำหรับนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความชอบทั่วไป โดยเราจะพบเห็นได้บ่อย คือ เว็บบล็อกรีวิวต่าง ๆ เช่น แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว รีวิวเครื่องสำอาง และอื่น ๆ ซึ่ง Content ภายใน Blog จะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่สนใจในเรื่องเดียวกัน เข้ามายังหน้าเว็บ Blog ของคุณ
6. เว็บแสดงผลงาน (Portfolio Website)
สำหรับเว็บไซต์แสดงผลงานจะมีความคล้ายคลึงกับ Personal Website ซึ่งภายในเว็บนี้มักจะแสดงผลงานของบุคคลหรือองค์กร เช่น ผลงานศิลปะ, การออกแบบ หรือผลงานเขียน และอื่น ๆ ทั้งนี้เว็บไซต์ประเภทนี้จะเห็นได้น้อย เพราะไม่นิยมใช้ในเชิงธุรกิจเหมือนกับประเภทอื่น ๆ
7. เว็บไซต์องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (Non-profit Website)
เว็บไซต์ประเภท Non-profit Website หรือเว็บไซต์สำหรับหน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร อาจเป็นมูลนิธิ ชมรม สมาคม กองทุนช่วยเหลือ เป็นต้น โดยเนื้อหาภายในจะแสดงข้อมูลขององค์กร เช่น วิสัยทัศน์ พันธกิจ และคุณค่าของหน่วยงาน รวมถึงผลงานที่ผ่านมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
8. เว็บไซต์ข้อมูล (Informational Website)
เว็บไซต์ประเภทนี้เป็นแหล่งรวมชุดข้อมูลความรู้หลากหลายประเภท หากพูดให้ภาพ คือ เว็บ Wikipedia ซึ่งเว็บไซต์ประเภทนี้ จะมีความละเอียดของข้อมูลค่อนข้างสูง และจำเป็นต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลให้ละเอียด พร้อมทั้งเน้นความถูกต้อง เพื่อจัดทำ Long Content ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
9. เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application)
เว็บแอปพลิเคชัน แอปที่ถูกเขียนขึ้นมาให้สามารถเปิดใช้ใน Web Browser ได้โดยตรง ไม่ต้องโหลด Application แบบเต็ม ๆ ลงเครื่องมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้กินทรัพยากรค่อนข้างต่ำ สามารถเปิดใช้งานหน้าเว็บไซต์ได้ไว อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนเกี่ยวกับค่าโปรแกรมได้อีกด้วย
10. เว็บการศึกษา (Education Website)
เว็บการศึกษา ถูกสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ และให้โอกาสนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือบุคคลทั่วไปใช้ในการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อการศึกษา และนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ทั้งแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งเว็บไซต์ประเภทนี้จะอุดมไปด้วยข้อมูลและความรู้ที่เป็นประโยชน์มากมาย
ประโยชน์ของเว็บไซต์
ประโยชน์ของเว็บไซต์มีมากมาย โดยแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ประโยชน์ต่อธุรกิจ และประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป
1. ประโยชน์ต่อธุรกิจ
- ช่วยส่งเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันด้านธุรกิจ เนื่องจากเว็บไซต์เป็นช่องทางในการนำเสนอข้อมูลและบริการต่าง ๆ ของธุรกิจให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย จึงช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
- หากเว็บไซต์มีการทำ Content เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ นอกจากจะทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพแล้ว ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจอีกด้วย
- การที่มีเว็บไซต์อยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้ไม่ต้องมีหน้าร้านหรือสำนักงาน โดยกลุ่มเป้าหมายสามารถค้นหาธุรกิจของคุณผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง Google, Bing และ Yahoo ได้
- นอกจากไม่ต้องมีหน้าร้านแล้ว เว็บไซต์สามารถใช้ในการขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตได้ และช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงช่วยสร้างรายได้หรือยอดขาย
- การออกแบบเว็บไซต์ให้ SEO-Friendly ถือเป็นช่องทางหลักทางการตลาดของบริษัทหรือองค์กร และร้านค้า เพราะเว็บไซต์สามารถใช้ในการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และความน่าสนใจของสินค้าหรือบริการของธุรกิจ
2. ประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป
- เว็บไซต์ถือเป็นแหล่งรวมข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ มากมาย ทั้งในด้านธุรกิจ บันเทิง สุขภาพ ฯลฯ ทำให้เข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- ใช้สำหรับศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้หรือฝึกฝนทักษะ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่มีการเรียนหรือการศึกษาผ่านระบบออนไลน์กันมากขึ้น
- เป็นแหล่งรวมความบันเทิง สามารถใช้เว็บไซต์ในการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ฯลฯ
- เว็บไซต์เป็นแหล่งการซื้อขายสินค้าและบริการ เช่น Amazon, Alibaba เป็นต้น
- อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของเว็บไซต์ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ไม่ว่าจะส่งเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจ หรือความต้องการของบุคคล ถือว่าเว็บไซต์มีประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว
การทำ Marketing ให้เว็บไซต์
ในการสร้างเว็บไซต์ควรให้ความสำคัญในการทำ Marketing โดยเฉพาะ Website Marketing เพราะจะทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจมีความสมบูรณ์แบบ และสามารถบรรลุเป้าหมายของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งเราจะมาแนะนำการทำ Marketing ให้กับเว็บไซต์ ดังนี้
1. การใช้ SEM และ SEO
อย่างที่รู้กันว่า SEM คือ Search Engine Marketing หรือการติดหน้า Google ด้วยวิธี “โฆษณา” ส่วน SEO คือ Search Engine Optimization เป็นการทำให้เว็บไซต์ติด Google แบบ “ไม่ต้องลงโฆษณา” ซึ่งถ้าคุณทำ SEM และ SEO ในคำค้นหาเดียวกัน และเว็บไซต์แสดงผลทั้ง 2 ส่วนพร้อมกัน ก็จะช่วยเพิ่มการแสดงผลของเว็บไซต์ของคุณบนหน้า Google และช่วยเพิ่มทั้งโอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ สร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ และเป็นผลบวกในด้าน Branding ของธุรกิจด้วยเช่นกัน
2. กลยุทธ์ Email Marketing
Email Marketing เป็นการอาศัยฐานข้อมูลรายชื่อ Email ที่มีอยู่ในเว็บ ซึ่งจุดประสงค์เพื่อให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำ โดยอาจจะแนะนำเกี่ยวกับระบบ CRM แจ้งข่าวสาร โปรโมชัน และอื่น ๆ ถือเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับธุรกิจได้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถวางลิงก์เว็บไซต์ให้ผู้ที่ได้รับอีเมล เข้ามาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกด้วย
3. สร้าง Content Marketing
แน่นอนว่า Content Marketing คือ เน้นสร้างเว็บไซต์สำหรับเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับแบรนด์ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายใหม่ หรือเพิ่มโอกาสให้ลูกเก่ากลับมาใช้บริการและซื้อสินค้าซ้ำ อีกทั้งต้องคอยอัปเดต Content ภายในเว็บไซต์อยู่เสมอ
4. การตลาดแบบ Video Marketing
ในยุคสมัยปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่นิยมดู Video สั้นๆ ผ่าน YouTube, TikTok และ Reel ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำ Marketing คือ สามารถเลือกทำ Content Video ในรูปแบบ Organic หรือ Paid Ads ได้ตามที่ต้องการ และวางลิงก์เว็บไซต์ธุรกิจเอาไว้ได้ ทั้งนี้การทำ Video Marketing ช่วยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง และเปลี่ยนจากผู้เข้าชมให้มาเป็นลูกค้าจริงได้เป็นอย่างดี
บทสรุป
สุดท้ายนี้ เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ Website และ Webpage คืออะไร? พร้อมทั้งประโยชน์ของเว็บไซต์ให้คุณทราบอีกด้วย ทั้งนี้สำหรับใครที่มีเว็บไซต์ธุรกิจอยู่แล้ว และต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าค้นหา ที่ Search Studio ของเรา มีบริการรับทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Google ซึ่งช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลาในการศึกษาข้อมูลให้เสียเวลา รับรองได้เลยว่าเว็บธุรกิจของคุณ สามารถเพิ่มยอดขายได้มากยิ่งขึ้น และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้อย่างกว้างขวาง สามารถติดต่อทีมงานของเราได้ที่ admin@searchstudio.co.th ได้เลย