กลยุทธ์การตลาด หรือ Marketing Strategy ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญอย่างมากของการทำธุรกิจเพื่อโอกาสแห่งความสำเร็จ เพราะต่อให้สินค้าหรือบริการจะดีเยี่ยม ราคาสุดคุ้มค่า แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย ยิ่งยุคปัจจุบันไม่ใช่แค่ Marketing Strategy แต่ Digital Marketing Strategy คือสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด มาทำความเข้าใจข้อมูลทั้งหมดพร้อมตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดที่ได้รับความนิยมกันเลย
กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) คืออะไร
Marketing Strategy หรือ กลยุทธ์การตลาด คือ รูปแบบ เทคนิค วิธีการ ไปจนถึงขั้นตอนการดำเนินงานในเชิงการตลาดซึ่งผ่านการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะมีการใช้งานในการทำธุรกิจเพื่อโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ซึ่งในปัจจุบันจะนิยมรูปแบบ Digital Marketing มากที่สุด
ดังนั้นหากอธิบายเจาะลึกลงไปความหมายของ Digital Marketing Strategy คือ การนำเอากลยุทธ์ทางการตลาดโดยผ่านการวิเคราะห์และตัดสินใจเรียบร้อยมาผสานกับช่องทางการนำเสนอบนโลกดิจิทัลเพื่อส่งสารไปยังกลุ่มเป้าหมายพร้อมตั้งเป้าให้ผลลัพธ์เป็นไปตามจุดประสงค์ที่ธุรกิจคาดหวัง
ตัวอย่างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้รับความนิยม
แม้โดยทั่วไปทุกคนจะคุ้นเคยกับคำว่ากลยุทธ์ทางการตลาดและพบเจอกันได้บ่อยครั้งอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณคือผู้ประกอบการ หรือคนทำงานฝ่ายการตลาด รับผิดชอบหน้าที่ด้านกลยุทธ์โดยเฉพาะ จำเป็นต้องศึกษาและพยายามหาข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคให้มากที่สุดเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม ซึ่งต่อไปนี้เป็น Marketing Strategy ตัวอย่างที่มักมีการใช้กันเป็นประจำ
1. Promotion Strategy (กลยุทธ์โปรโมชั่น)
หากบอกว่านี่คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่พบเจอได้บ่อยสุดไม่ว่าจะออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ คงไม่ใช่เรื่องผิดนัก ซึ่ง Promotion Strategy คือ วิธีจูงใจลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้เกิดความสนใจในตัวสินค้าหรือบริการผ่านเทคนิค ลด แลก แจก แถม จนผู้บริโภครู้สึกถึงความคุ้มค่ากับเงินที่พวกเขาจ่ายออกไป เช่น ซื้อ 1 แถม 1 ส่วนลด Mid Year Sale สูงสุด 70% สะสมแสตมป์ครบ 10 ดวง แลกฟรีบัตรส่วนลด 500 บาท เป็นต้น ส่วนใหญ่เทคนิคนี้มักใช้เพื่อกระตุ้นยอดขายหรือต้องการโละสินค้ารุ่นเก่าออกจากคลังเพื่อเปลี่ยนคอลเลคชันใหม่
2. Content Strategy (กลยุทธ์สร้างคอนเทนต์)
Content Strategy คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่อาศัยการสร้างคอนเทนต์หรือเนื้อหาต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ที่รับชมเกิดความสนใจ มีได้ทั้งการทำภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ตัวอักษร สิ่งสำคัญมากของวิธีนี้จะทำผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อการเข้าถึงกลุ่มคนยุคใหม่ในวงกว้าง หากคอนเทนต์ดังกล่าวสามารถเกิดกระแส (Viral Content) ได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่คนจะรู้จักและให้ความสนใจก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
3. Influencer Strategy (กลยุทธ์อาศัยคนดัง)
การใช้คนดังหรือ Influencer คือ รูปแบบการตลาดออนไลน์ที่มาแรงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหตุผลสำคัญเป็นเพราะคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อความคิดของผู้ติดตามของพวกเขาอยู่พอสมควร คล้ายกับเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือหากได้ทดลองใช้ ทาน หรือทำสิ่งใด ผู้ติดตามจึงมักคล้อยตามได้ง่าย แต่จะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก โดยเรทค่าตัวมักขึ้นอยู่กับจำนวนยอดผู้ติดตาม หรือเรทราคาที่เหล่าคนดังตั้งไว้
4. Online Ads Strategy (กลยุทธ์โฆษณาออนไลน์)
ยุคนี้โลกออนไลน์มีบทบาทกับการใช้ชีวิตมากไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Social Media เช่น Facebook, TikTok, Instagram รวมถึงเว็บ Search Engine อย่าง Google ก็มีการใช้งานเยอะไม่แพ้กัน กลยุทธ์การซื้อโฆษณาหรือซื้อ Ads กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่าง ๆ อาทิ Facebook Ads, TikTok Ad, Google Ads จะช่วยให้แบรนด์ของคุณเกิดการจดจำได้ง่ายขึ้น เมื่อบวกกับการถูกกระตุ้นให้เห็นบ่อยเข้าโอกาสคล้อยตามของคนที่มีความสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงสูงนั่นเอง
5. Email Strategy (กลยุทธ์ผ่านอีเมล)
หรือจะเรียก Email Marketing ก็ได้เช่นกัน กลยุทธ์นี้หลายคนอาจคิดว่าล้าสมัย แต่ถ้าลองเปิดอีเมลของตนเองดูจะพบว่าธุรกิจหลายแห่งยังคงนิยมใช้งานเป็นอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่เนื้อหาในอีเมลจะเน้นการบอกส่วนลด โปรโมชั่นพิเศษต่าง ๆ พร้อมระบุถึงความ Special ให้คุณสัมผัสถึงฐานะการเป็นลูกค้าคนพิเศษจนต้องตัดสินใจซื้อในท้ายที่สุด
บทสรุป
ยังมีอีกหลายเทคนิค หลากกลยุทธ์การตลาดมาก ๆ ที่นักการตลาดยุคใหม่นำมาปรับใช้งานตามความเหมาะสมของประเภทธุรกิจ เทรนด์ผู้บริโภค และปัจจัยแวดล้อมอื่น ดังนั้นสิ่งสำคัญในการตามเทรนด์ตลาดให้ทันคือต้องไม่หยุดนิ่งและพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ และสิ่งที่ไม่ควรมอลข้ามเลยคือสินค้าหรือบริการต้องโดนใจผู้บริโภค แล้วทุกอย่างจะเดินไปได้ตามสิ่งที่คุณคาดหวัง